วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สำนวนสอนใจ


ลูกไก่ในกำมือ ความหมาย คือ ผู้ตกอยู่ในอำนาจ ไม่มีทางต่อสู้


หมาสองราง ความหมาย คือ คนที่ทำตัวเด้วยทั้งสองฝ่าย



ดินพอกหางหมู ความหมาย คือ การทำสิ่งใดก็ตาม ถ้ามัวเเต่ผัดวันปะกันพรุ่ง เพราะความเกียจคร้าน ไม่ทำให้เสร็จเสียโดยเร็ว ปล่อยให้ทับถมมากๆเข้างานก็จะเพิ่มขึ้นทุกที ทำเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเสร็จ


ปล่อยไก่ ความหมาย คือ เเสดงความโง่ออกมา






















วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Fried rice with curry powder

INGREDIENT
3 cloves garlic, finely chopped
2 tablespoons of oil
2 tablespoons of medium to hot curry powder (Indian or Thai)
1/2 lb of chicken breast, chopped
1 tablespoon of light soy sauce
2 tablespoons of fish sauce
1 teaspoon of sugar
2 spring onions, chopped finely
2-4 Thai red chiles or finger peppers, quartered lengthwise

Direction

1. Cook rice and cool in refrigerator for at least one hour. The longer the rice chills, the better.
2. Heat the oil in a wok, add garlic. Fry until golden (about 30 seconds).
3. Add the curry paste and fry for 1 minute. Add chicken and stir fry for 2 minutes or until meat turns color.
4. Stir in the rice and fry for about 2 minutes.
5. Stir in chiles, sugar, soy sauce, and fish sauce. Cook for a few minutes.
6.Serve and garnish with onion.

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา




บางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องเห็นใจคนอื่น ทำไมต้องรักษามารยาท ทำไมต้องระวังคำพูด คำถามที่ยกตัวอย่างมานี้ จะหาคำตอบได้จากคุณธรรมข้อที่ว่าด้วยเรื่อง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
การรู้จัก "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" หมายถึง รู้จักคิดถึงใจคนอื่น เห็นใจคนอื่น และคิดเปรียบเทียบดูว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีคนมาปฏิบัติหรือพูดกับเรา ในแบบที่เรากำลังจะทำหรือพูดออกไป คนเราส่วนมาก ย่อมไม่มีใครชอบอ่านหรือฟังคำพูดที่หยาบคาย หาเรื่อง เหยียดหยาม หรือประชดประชัด และแน่นอนว่า ต่อให้เป็นเพื่อนกัน ที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ เจอหน้ากันทุกวันหรือทุกสัปดาห์ เจอตัวเป็นๆกันบ่อยๆ ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนผ่านทางอินเตอร์เนตหรือเวบบอร์ด ถ้าหากเพื่อนมาทำตัวปากไม่ดีใส่เรา หรือพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจ ไม่ถนอมน้ำใจ ทำลายกำลังใจเรา เราก็ย่อมรู้สึกไม่พอใจ จริงไหม?
แล้วถ้าเป็นแค่คนรู้จักในอินเตอร์เนตล่ะ? ยิ่งไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่รู้จักตัวจริงกัน ก็ยิ่งเคืองกันง่ายกว่าเพื่อนจริงๆอีก ใช่ไหม? แถมเวลาพิมพ์อะไรไปในเวบบอร์ด คนอ่านก็ไม่ได้มาเห็นหน้าคนพิมพ์ด้วย ถ้าคนพิมพ์เจตนาจะล้อเล่น แหย่เล่น หรือต้องการทำให้ขำ แต่ถ้าเลือกใช้คำพูดไม่ดีพอ ไม่เหมาะสม หรือสื่อความหมายไม่ชัดเจน คนอ่านก็อาจจะเข้าใจผิดไปได้ง่ายๆ และอาจจะมีการโกรธเคือง ฉุนเฉียวกันได้แม้เป็นเรื่องแค่เล็กๆน้อยๆ เพราะฉะนั้น ก่อนที่ท่านๆจะพิมพ์อะไรลงไปในเวบบอร์ด และก่อนที่จะกดส่งข้อความ ขอความกรุณาช่วยพินิจพิเคราะห์ คิด พิจารณาดูหน่อยว่าถนอมน้ำใจคนอื่นพอหรือยัง หาเรื่องเขาหรือไม่ กวนใจใครหรือเปล่า สื่อในสิ่งที่อยากสื่อหรือยัง ไม่ใช่ว่าพิมพ์ๆไปไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้อ่านให้ดีอีกรอบว่าเราสื่อในสิ่งที่อยากสื่อจริงๆหรือ และสิ่งที่พิมพ์ออกไปนั้นผ่านการกลั่นกรองดีแล้วทั้งทางไวยากรณ์และทางจิตวิทยาหรือยัง
บางครั้ง การที่สื่อสารกันผ่านอินเตอร์เนต มันต้องนั่งมองแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าอีกฝ่าย ก็อาจจะทำให้เราๆท่านๆลืมตัวไป ลืมคิดไปว่าคู่สนทนาของเราน่ะเป็นคนนะ ไม่ใช่เครื่องจักร บางทีก็เลยเผลอทำอะไรที่ทำร้ายจิตใจเขาไป สิ่งที่คนเราที่เล่นอินเตอร์เนตควรระลึกไว้เสมอก็คือ อีกฟากหนึ่งของคอมพิวเตอร์ มีคนเป็นๆนั่งอยู่ เหมือนที่เรานั่ง และคนที่เราคุยอยู่ด้วยก็ล้วนแต่เป็นคน เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา มีความคิด มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์ของมนุษย์เหมือนๆเรา เขาก็รู้จักโกรธ รู้จักเศร้า รู้จักเจ็บใจหรือน้อยใจได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราจะทำหรือจะพูดอะไร ก็ควรคิดถึงจิตใจของอีกฝ่ายด้วย ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สิ่งที่สังเกตเห็นมามากในสังคมอินเตอร์เนตหลายๆแห่ง ไม่ว่าจะ webboard, message board, chat room หรือตามเกม online ต่างๆ ปัญหาความขัดแย้งหรือการทะเลาะเบาะแว้ง มักจะมีต้นเหตุมาจากการไม่รู้จักควบคุมคำพูดและการกระทำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บางครั้งก็ด้วยความที่จิ้มๆคีย์บอร์ดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นี่แหละ ที่ทำให้ผู้เล่น (user, player หรืออะไรก็แล้วแต่) เกิดความรู้สึกว่า เราอยู่ตรงนี้ แต่เวลาทำหรือพูดอะไรออกไป ก็ไม่มีใครมีปัญญามารู้ตัวจริงของเราได้ ไม่มีใครรู้จักเราว่าเราเป็นใครมาจากไหน หน้าตายังไง ชื่อจริงๆชื่ออะไร ก็เลยหลงไปในทางที่ผิด ด้วยการใช้ข้อได้เปรียบที่เรียกว่า anonimity (การไม่เปิดเผยตัวจริง) ไปในทางเสื่อมเสีย อาทิเช่น ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ว่าร้ายคนอื่น ก่นด่า หาเรื่องวิวาท โกหกปลิ้นปล้อน กลับกลอก ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าพูดดี ลับหลังด่าสาดเสียเทเสีย พูดจากระทบกระแทก ประชดประชัน ด่ากันซึ่งๆหน้าโดยปราศจากความเกรงใจ หรือพูดจาแบบไม่ให้เกียรติกันในฐานะมนุษย์ กล่าววาจาผรุสวาท ด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง ใช้อารมณ์ฉุนเฉียว ใช้ความก้าวร้าว คิดแต่จะระบายความโกรธ ความเกลียดใส่คู่สนทนา โดยไม่คำนึงถึงอีกฝ่ายว่าฟังหรืออ่านแล้วจะรู้สึกไม่ดีเช่นไร หรือบางคนก็ทำอะไรร้ายๆหลายอย่างที่ในชีวิตจริงไม่กล้าทำ แต่ในอินเตอร์เนตเมื่อเห็นว่าไม่ได้อยู่ซึ่งๆหน้าก็ออกลาย ซ่า อาละวาด ด่าทอ หยาบคาย ก้าวร้าว ทำเรื่องต่างๆนานาไว้มาก จนก่อความเดือดร้อนหรือเจ็บช้ำน้ำใจแก่คนอื่นๆในสังคมอินเตอร์เนตนั้นๆคุณล่ะเคยทำหรือเปล่า? ถ้าเคย ทำไมถึงทำ? ก่อนทำหรือทำแล้วรู้หรือเปล่าว่ามันไม่ดี? แล้วรู้รึเปล่าว่าผลที่ได้เป็นยังไง? หรือถ้าไม่เคยทำ เคยสงสัยหรือเปล่าว่าทำไมคนอื่น(บางคน)ถึงทำ? แล้วคุณเคยเห็นผลมั้ย ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น คนที่ทำเรื่องเช่นนั้นได้ มักจะเป็นคนที่ไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่เคารพในความเป็นคนของคนอื่น ไม่มีสติยั้งคิด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาเหล่านั้นคงจะบิดเบี้ยวไป จึงได้ไม่คิดถึงใจคนอื่นนั่นเอง หรือไม่ก็โมโหโทโสจนลืมตัวลืมตีน เลยพูดจาหรือทำอะไรที่วิญญูชนเขาไม่ทำกันลงไปได้ โดยไม่ทันระงับอารมณ์ สังคมอินเตอร์เนต แม้มันจะเป็นแค่ของสมมติ แต่คนที่เข้ามาข้องเกี่ยวในสังคมสมมตินี้ก็เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่แค่ pixel (เม็ดสี) บนหน้าจอ ดังนั้นสังคมจะดีหรือเลวได้ ก็ขึ้นอยู่กับคนในสังคม ถ้าทุกคนมีน้ำใจต่อกัน สื่อสารกันด้วยอัธยาศัยอันดีงาม สังคมก็จะสงบสุขและไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าทุกคนรู้จักควบคุมตนเอง ไม่ให้พูดหรือพิมพ์อะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร ไม่ต่อว่าคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล สังคมก็จะมีแต่ความรักสามัคคี และจะส่งผลให้คนในสังคมนั้นมีสันติสุข และเป็นสังคมที่น่าอยู่ ในทางกลับกัน การไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือการใช้คำหยาบคายอยู่เป็นประจำ นอกจากจะทำร้ายจิตใจคนอื่นและทำร้ายสังคมส่วนรวมแล้ว ยังทำร้ายตัวคุณเองด้วย เพื่อนๆอาจจะตีตัวออกห่าง สังคมเริ่มรังเกียจ หรือคนที่เคยคุยด้วยก็จะไม่อยากคุยกับคุณอีก เพราะเขา"เข็ด"แล้วนั่นเอง (ใครกันล่ะจะชอบให้คนอื่นโขกสับ แม้จะเป็นแค่คำพูดในหน้าจอก็เถอะ) อีกหน่อยคนประเภทนี้ก็จะไม่มีใครคบ เรียกว่าตัวเองทำตัวเองโดยแท้ เพราะฉะนั้นโมจิในฐานะสต๊าฟของ GG และในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง ขอความกรุณาสมาชิกทุกท่าน ให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ขอให้คิดก่อนพูด(พิมพ์) บางสิ่งที่ไม่สมควรหรือสิ่งที่คิดได้ว่าพูดไปแล้วจะทำให้คนอื่นเสียใจ ก็ไม่ควรพูด การรักษามารยาทในสังคมจริงของคุณ คุณทำอย่างไร ในอินเตอร์เนตก็ควรนำมารยาทเหล่านั้นมาใช้ด้วย อันนี้ไม่ได้ขอเพื่อตัวเอง แต่เพื่อรักษาความสงบของบอร์ด เพื่อส่วนรวม เพื่อรักษาน้ำใจของเพื่อนๆ และรักษาน้ำใจของตัวคุณเองด้วย เพราะการทะเลาะเบาะแว้งหรือด่ากันนั้นไม่มีข้อดี มีแต่ข้อเสีย และเมื่อเกิดการวิวาทขึ้นแล้วย่อมจะเจ็บ(ใจ)ทั้งสองฝ่าย ดังนั้นในเมื่อเราต่างก็เป็นเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน มีความสนใจคล้ายๆกัน และชอบในสิ่งที่คล้ายๆกัน เราก็ควรจะรักกันไว้ดีกว่าทะเลาะกัน ก็ไม่ได้สนับสนุนหรือส่งเสริมให้ประจบประแจงกันหรืออ่อนน้อมถ่อมตนมากมายอะไร แค่อยากให้รู้จักคิดรักษามารยาทและใช้คำสุภาพให้ติดเป็นนิสัย อย่าปล่อยให้อารมณ์มามีอำนาจเหนือความคิดและเหตุผลได้ และอย่าให้ความหยาบคายกลายเป็นนิสัยติดตัว การรักษามารยาทเช่นนี้ ไม่ใช่การเสแสร้ง แต่เป็นการประนีประนอมเพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้ สังคมนอกจากจะมีกฎระเบียบแล้ว ยังมีมารยาทอีกด้วย จะทำอะไรต้องดูกาลเทศะ ดูความเหมาะสม และปรับตัวเข้าหาสังคมส่วนรวม ซึ่งคนที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่งๆก็ต้องยอมรับและยึดถือแนวทางปฏิบัติคล้ายๆกัน (เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม) ไม่ใช่ใครคิดจะละเมิดอะไรก็ละเมิด แถมยังละเมิดจนไปเบียดเบียนคนอื่น หรือก่อความเดือดร้อนให้ใครๆ ไม่ว่าทางกายหรือวาจาก็ตาม

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สรรพคุณที่ทำให้ดอกคำฝอยได้แจ้งเกิดในใจของแฟนๆ มาจากความสามารถในการลดไขมันในเส้นเลือด แต่ที่จริงแล้วมันยังมีประโยชน์มากกว่านั้น สลายลิ่มเลือด คนที่ชอบกินของหวานจะมีน้ำตาลในเลือดสูง จากนั้นเลือดจะเหนียวข้นจับตัวกลายเป็นลิ่มเลือด ทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตไม่ดี แต่คำฝอยมีสรรพคุณช่วยสลายลิ่มเลือดให้เล็กลงและป้องกันไม่ให้เลือดเกาะตัวกลายเป็นลิ่มเลือดขึ้นมาใหม่ หัวใจแข็งแรง เมื่อตัวยาจากดอกคำฝอยสลายลิ่มเลือดไปแล้ว ร่างกายก็จะมีเลือดไปเลี้ยงที่หัวใจมากขึ้น ทำให้หัวใจแข็งแรง และยังช่วยลดไขมันอุดตันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจไปในตัว รักษาแผลกดทับ ตำราแพทย์แผนโบราณบอกว่าให้ต้มดอกคำฝอย 500 กรัม ในน้ำ 7 ลิตร ต้มด้วยไฟปานกลางประมาณ 2 ชั่วโมง จนดอกคำฝอยเป็นสีขาว ตักกากออกให้เหลือแต่น้ำ แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ต่อไปจนน้ำเหนียวเป็นกาว จากนั้นก็เอาน้ำยาทาลงบนผ้า เอาไปปิดที่แผลกดทับ ทำติดต่อกันประมาณ 1 อาทิตย์ แผลกดทับก็จะหายเอง

TIP*****
ถึงแม้ดอกคำฝอยจะมีดีหลายอย่าง แต่ถ้าดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายก็กลายเป็นโทษได้เหมือนกัน เพราะน้ำดอกคำฝอยมีคุณสมบัติสลายลิ่มเลือด ถ้าดื่มมากๆ จะทำให้โลหิตจาง เลือดน้อย แถมยังเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจหวิว มึนศีรษะ กลายเป็นผู้หญิงขี้โรคโดยไม่รู้ตัว

การสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ

ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยสำหรับโลกไร้พรมแดนในยุคนี้ บริษัทในเมืองไทยมีทั้งบริษัทคนไทยที่ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติ และบริษัทข้ามชาติที่ขยายสาขาเข้ามาในเมืองไทย บริษัททั้ง 2 ประเภทต่างก็ต้องการผู้ที่มีความสามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างราบรื่น เพื่อที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมืออาชีพ ไม่ติดขัด หรือเกิดปัญหาในเรื่องการสื่อสาร ยิ่งไปกว่านั้นหากคุณได้เข้าทำงานในบริษัทข้ามชาติ คุณจะได้พบกับภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ซึ่งถึงแม้จะเป็นคนไทยด้วยกัน ก็มักจะสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษเวลาส่งอีเมลหากัน บางเวลาคุยกันต่อหน้าหรือทางโทรศัพท์ก็มักจะได้ยินภาษาไทยปนอังกฤษตลอดเวลา
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว คนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษล่ะจะมีโอกาสได้งานกับเขาบ้างหรือเปล่า
หากคุณไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่อยากจะได้งานดี ๆ ในบริษัทดัง ๆ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณได้งาน คือ คุณต้องมีทักษะเฉพาะทาง ที่ทำให้ตัวคุณโดดเด่นขึ้นมา และสามารถกลบข้อด้อยในเรื่องภาษาอังกฤษได้ เช่นงานในสายที่ไม่ต้องติดต่อกับต่างประเทศโดยตรง เช่น งานด้านกราฟิกดีไซน์ งานด้านสถาปัตยกรรม งานด้านวิศวกรรม งานด้านการบัญชี เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี คุณจำเป็นต้องขวนขวายเรียนรู้เพิ่มเติมด้วย เพื่อที่จะสามารถปรับตัวอยู่ในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษอย่างมากเช่นนี้ และหากต้องการให้การทำงานมีความก้าวหน้าและพัฒนาขึ้น คุณต้องฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มเติมอย่างแน่นอน เพื่อให้สามารถอ่านตำรา หรืองานวิจัยภาษาอังกฤษได้ เพราะองค์ความรู้ส่วนมากมักจะพัฒนามาจากทางตะวันตก คุณจะเปิดโอกาสตัวเองสำหรับการเรียนรู้ที่กว้างไกลได้เพิ่มขึ้นด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานในตำแหน่งใด ในปัจจุบันภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างมากในการทำงาน บริษัทข้ามชาติส่วนใหญ่กำหนดว่า ผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องผ่านข้อกำหนดในเรื่องภาษาอังกฤษด้วย ตามมาตรฐานแล้วจะต้องมีคะแนน TOEIC (Test of English for International Communication) ไม่ต่ำกว่า 550 จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
หากคุณพบว่าตัวเองช่างอ่อนด้อยเรื่องภาษาเหลือเกิน อย่าเพิ่งท้อแท้ใจ ทุกคนมีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาแล้วทั้งนั้นจากโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนและใช้งาน คุณก็เลยยังไม่เก่งสักที การฝึกภาษาอังกฤษสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเสียสตางค์ลงเรียนตามสถาบันสอนภาษาราคาแพง เพราะภาษาอังกฤษมีอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณอยู่แล้วทั้งการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง แค่คุณตั้งใจ เอาจริงเอาจัง แล้วภาษาอังกฤษของคุณก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
พกดิกชันนารีหรือ Talking Dict. ติดตัวไปด้วยเสมอ ตามถนนหนทางมีป้ายโฆษณามากมายที่ใช้ภาษาอังกฤษ คุณอาจต้องฝึกให้ตัวเองเป็นคนช่างสังเกต และช่างสงสัยมากขึ้น เวลาเจอคำภาษาอังกฤษที่ไม่เข้าใจ ก็หยิบ Talking Dict. ขึ้นมาหาความหมาย เพื่อคลายสงสัยได้ทันที
เปลี่ยนคลื่นวิทยุ ลองเปลี่ยนจากคลื่นเพลงไทยสากลยอดนิยมมาฟังเพลงแบบอินเตอร์กันบ้าง การฟังเพลงภาษาอังกฤษเยอะ ๆ คุณจะได้ทั้งคำศัพท์ สำนวน และสำเนียง พยายามออกเสียงร้องตาม และทำความเข้าใจกับเนื้อเพลง และคำศัพท์สำนวนที่ใช้
สมัครสมาชิกเคเบิ้ลทีวี แล้วหันมาดูข่าวจาก BBC หรือ CNN เปลี่ยนจากละครหลังข่าวช่อง 3 5 7 9 มาเป็นซีรีส์ฝรั่งจะช่วยให้คุณซึมซับภาษาอังกฤษเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย แต่น่าทึ่งกับความเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา
ดูหนัง Soundtrack โดยไม่อ่าน Subtitle สำหรับวิธีนี้ถ้าไม่อยากเสียสตางค์ดูหนังในโรงภาพยนตร์ ซึ่งอาจทำให้เสียสตางค์ฟรีเพราะดูไม่รู้เรื่อง เแนะนำให้ซื้อแผ่นมาดูที่บ้าน ถึงช่วงไหนที่ฟังไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจก็สามารถกดย้อนไปดูได้ตามสบาย อย่าลืมหัดออกเสียงให้ได้สำเนียงอินเตอร์ด้วย
อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอย่าง Bangkok Post หรือ Time Magazine จับใจความโดยอาศัยข้อความแวดล้อมและบริบท ไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายทุกคำ เพราะบางครั้งสิ่งที่อ่านเป็นสำนวนที่ไม่ได้แปลตรงตัว ถึงแม้คุณจะรู้ความหมายทุกคำแต่ก็ไม่สามารถแปลออกมาได้อยู่ดี พยายามทำความเข้าใจว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร แล้วจดจำสำนวนของเขามาใช้ได้ถูกต้อง
เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อได้เรียนรู้แล้วต้องกล้าที่จะใช้ด้วย ไม่ใช่เจอฝรั่งแล้วคุณก็เดินหนี ก็เลยไม่มีโอกาสได้ใช้งานเสียที อย่ากลัวว่าจะพูดผิด เพราะผิดเป็นครูอยู่แล้ว
ถ้าคุณได้ใช้บ่อย ๆ คุณจะเรียนรู้ได้เองว่าที่ถูกเขาใช้กันอย่างไร และเมื่อนั้นคุณจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจ ต่อไปภาษาอังกฤษก็จะไม่เป็นอุปสรรคในการหางานในฝันของคุณอีก

Moringa oleifera**

Moringa oleifera, commonly referred to simply as "Shevaga" in Marathi, "Moringa" (from Tamil: MurungaiKannada Malayalam: Muringnga), is the most widely cultivated species of the genus Moringa, which is the only genus in the family Moringaceae. It is an exceptionally nutritious vegetable tree with a variety of potential uses. The tree itself is rather slender, with drooping branches that grow to approximately 10 m in height. In cultivation, it is often cut back annually to 1 meter or less and allowed to regrow so that pods and leaves remain within arm's reach.

General nutrition
The immature green pods called “drumsticks” in marathi Shewga are probably the most valued and widely used part of the tree. They are commonly consumed in India and are generally prepared in a similar fashion to green beans and have a slight asparagus taste. The seeds are sometimes removed from more mature pods and eaten like peas or roasted like nuts. The flowers are edible when cooked, and are said to taste like mushrooms. The roots are shredded and used as a condiment in the same way as horseradish; however, it contains the alkaloid spirochin, a potentially fatal nerve-paralyzing agent, so such practices should be strongly discouraged.
The leaves are highly nutritious, being a significant source of beta-carotene, Vitamin C, protein, iron, and potassium. The leaves are cooked and used like spinach. In addition to being used fresh as a substitute for spinach, its leaves are commonly dried and crushed into a powder, and used in soups and sauces. Murungakai, as it is locally known in Tamil Nadu and Kerala, is used in Siddha medicine. The tree is a good source for calcium and phosphorus. In Siddha medicines, these drumstick seeds are used as a sexual virility drug for treating erectile dysfunction in men and also in women for prolonging sexual activity.
The Moringa seeds yield 38–40% edible oil (called ben oil from the high concentration of behenic acid contained in the oil). The refined oil is clear, odorless, and resists rancidity at least as well as any other botanical oil. The seed cake remaining after oil extraction may be used as a fertilizer or as a flocculent to purify water.
The bark, sap, roots, leaves, seeds, oil, and flowers are used in traditional medicine in several countries. In Jamaica, the sap is used for a blue dye.
The flowers are also cooked and relished as a delicacy in West Bengal and Bangladesh, especially during early spring. There it is called shojne ful and is usually cooked with green peas and potato.