วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประวัติขนมไทย

ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
สมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้วเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง
ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขาย ทั้งขายอยู่กับที่ แบกกระบุง หาบเร่ และมีการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อไปตามยุคสมัย เช่นในปัจจุบันมีการบรรจุในกล่องโฟมแทนการห่อด้วยใบตองในอดีต

การปฏิรูปการปกครองสมัยรัชการที่ 5


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มีต่อประเทศในแถบเอเชีย โดยมักอ้างความชอบธรรมในการเข้ายึดครองดินแดนแถบนี้ว่าเป็นการทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าอันเป็น "ภาระของคนขาว" ทำให้ต้องทรงปฏิรูปบ้านเมืองให้ทันสมัย โดยพระราชกรณียกิจดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2416
ประการแรก ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมาสองสภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (เคาน์ซิลออฟสเตต) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (ปรีวีเคาน์ซิล) ในปี พ.ศ. 2417 และทรงตั้งขุนนางระดับพระยา 12 นายเป็น "เคาน์ซิลลอร์" ให้มีอำนาจขัดขวางหรือคัดค้านพระราชดำริได้ และทรงตั้งพระราชวงศานุวงศ์ 13 พระองค์ และขุนนางอีก 36 นาย ช่วยถวายความคิดเห็นหรือเป็นกรรมการดำเนินการต่าง ๆ แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ขุนนางตระกูลบุนนาค และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เห็นว่าสภาที่ปรึกษาเป็นความพยายามดึงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เกิดคามขัดแย้งที่เรียกว่า วิกฤตการณ์วังหน้า วิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้การปฏิรูปการปกครองชะงักลงกระทั่ง พ.ศ. 2428
พ.ศ. 2427 ทรงปรึกษากับพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ อัครราชทูตไทยประจำอังกฤษ ซึ่งพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พร้อมเจ้านายและข้าราชการ 11 นาย ได้กราบทูลเสนอให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ทรงเห็นว่ายังไม่พร้อม แต่ก็โปรดให้ทรงศึกษารูปแบบการปกครองแบบประเทศตะวันตก และ พ.ศ. 2431 ทรงเริ่มทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น 12 กรม (เทียบเท่ากระทรวง)
ประการสอง พ.ศ. 2431 ทรงตั้ง "เสนาบดีสภา" หรือ "ลูกขุน ณ ศาลา" ขึ้นเป็นฝ่ายบริหาร ต่อมา ใน พ.ศ. 2435 ได้ตั้งองคมนตรีสภา เดิมเรียกสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เพื่อวินิจฉัยและทำงานให้สำเร็จ และรัฐมนตรีสภา หรือ "ลูกขุน ณ ศาลาหลวง" ขึ้นเพื้อปรึกษาราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกฎหมาย นอกจากนี้ยังทรงจัดให้มี "การชุมนุมเสนาบดี" อันเป็นการประชุมปรึกษาราชการที่มุขกระสัน พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ด้วยความพอพระทัยในผลการดำเนินงานของกรมทั้งสิบสองที่ได้ทรงตั้งไว้เมื่อ พ.ศ. 2431 แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12 กระทรวง เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 อันประกอบด้วย
1. กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบงานที่เดิมเป็นของสมุหนายก ดูแลกิจการพลเรือนทั้งหมดและบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและชายทะเลตะวันออก
2. กระทรวงนครบาล รับผิดชอบกิจการในพระนคร
3. กระทรวงโยธาธิการ รับผิดชอบการก่อสร้าง
4. กระทรวงธรรมการ ดูแลการศาสนาและการศึกษา
5. กระทรวงเกษตรพานิชการ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์
6. กระทรวงยุติธรรม ดูแลเรื่องตุลาการ
7. กระทรวงมรุธาธร ดูแลเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์
8. กระทรวงยุทธนาธิการ รับผิดชอบปฏิบัติการการทหารสมัยใหม่ตามแบบยุโรป
9. กระทรวงพระคลังสมบัติ รับผิดชอบงานที่ในปัจจุบันเป็นของกระทรวงการคลัง
10. กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) รับผิดชอบการต่างประเทศ
11. กระทรวงกลาโหม รับผิดชอบกิจการทหาร และบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้
12. กระทรวงวัง รับผิดชอบกิจการพระมหากษัตริย์
หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบกิจการพลเรือนเพียงอย่างเดียว และให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบกิจการทหารเพียงอย่างเดียว ยุบกรม 2 กรม ได้แก่ กรมยุทธนาธิการ โดยรวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม และกรมมรุธาธร โดยรวมเข้ากับกระทรวงวัง และเปลี่ยนชื่อกระทรวงเกษตรพานิชการ เป็น กระทรวงเกษตราธิการ ด้านการปกครองส่วนภูมิภาค มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ไทยกลายมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ดยการลดอำนาจเจ้าเมือง และนำข้าราชการส่วนกลางไปประจำแทน ทรงทำให้นครเชียงใหม่ (พ.ศ. 2317-2442) รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ตลอดจนทรงแต่งตั้งให้กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ไปประจำที่อุดรธานี เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองแบบเทศาภิบาล
พ.ศ. 2437 ทรงกำหนดให้เทศาภิบาลขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกระบบกินเมือง และระบบหัวเมืองแบบเก่า (ได้แก่ หัวเมืองชั้นใน ชั้นนอก และเมืองประเทศราช) จัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้าน ระบบเทศาภิบาลดังกล่าวทำให้สยามกลายเป็นรัฐชาติที่มั่นคง มีเขตแดนที่ชัดเจนแน่นอน นับเป็นการรักษาเอกราชของประเทศ และทำให้ราษฎรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
พระองค์ยังได้ส่งเจ้านายหลายพระองค์ไปศึกษาในทวีปยุโรป เพื่อมาดำรงตำแหน่งสำคัญในการปกครองที่ได้รับการปฏิรูปใหม่นี้ และทรงจ้างชาวต่างประเทศมารับราชการในตำแหน่งที่คนไทยยังไม่เชี่ยวชาญ ทรงตั้งสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศที่ท่าฉลอม พ.ศ. 2448
การเสียดินแดนของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์
พระบรมราชนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ปากน้ำเมืองสมุทรปราการ
การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส
• ครั้งที่ 1 เสียแคว้นเขมร (เขมรส่วนนอก) เนื้อที่ประมาณ 123,050 ตารางกิโลเมตร และเกาะอีก 6 เกาะ วันที่ 15 กรกฎาคม 2410
• ครั้งที่ 2 เสียแคว้นสิบสองจุไท หัวพันห้าทั้งหก เมืองพวน แคว้นหลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ คำม่วน และแคว้นจำปาศักดิ์ฝั่งตะวันออก (หัวเมืองลาวทั้งหมด) โดยยึดเอาดินแดนสิบสองจุไทย และได้อ้างว่าดินแดนหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และนครจำปาศักดิ์ เคยเป็นประเทศราชของญวนและเขมรมาก่อน จึงบีบบังคับเอาดินแดนเพิ่มอีก เนื้อที่ประมาณ 321,000 ตารางกิโลเมตร วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2431 ฝรั่งเศสข่มเหงไทยอย่างรุนแรงโดยส่งเรือรบล่วงเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงป้อมพระจุลจอมเกล้า ฝ่ายไทยยิงปืนไม่บรรจุกระสุน 3 นัดเพื่อเตือนให้ออกไป แต่ทางฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาเป็นอันมาก เกิดการรบกันพักหนึ่ง ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสนำเรือรบมาทอดสมอ หน้าสถานทูตของตนในกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ (ทั้งนี้ประเทศอังกฤษ ได้ส่งเรือรบเข้ามาลอยลำอยู่ 2 ลำ ที่อ่าวไทยเช่นกัน แต่มิได้ช่วยปกป้องไทยแต่อย่างใด) ฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้ไทย 3 ข้อ ให้ตอบใน 48 ชั่วโมง เนื้อหา คือ
o ให้ไทยใช้ค่าเสียหายสามล้านแฟรงค์ โดยจ่ายเป็นเหรียญนกจากเงินถุงแดง พร้อมส่งเช็คให้สถานทูตฝรั่งเศสแถวบางรัก
o ให้ยกดินแดนบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเกาะต่างๆ ในแม่น้ำด้วย
o ให้ถอนทัพไทยจากฝั่งแม่น้ำโขงออกให้หมดและไม่สร้างสถานที่สำหรับการทหาร ในระยะ 25 กิโลเมตร ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับในข้อ 2 ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพมาปิดอ่าวไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2436 และยึดเอาจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดไว้ เพื่อบังคับให้ไทยทำตาม
• ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 50,000 ตารางกิโลเมตร ให้แก่ฝรั่งเศส ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 และฝรั่งเศสได้ยึดเอาจันทบุรีกับตราด ไว้ต่ออีก นานถึง 11 ปี (พ.ศ. 2436- พ.ศ. 2447)
• ปี พ.ศ. 2446 ไทยต้องทำสัญญายกดินแดนให้ฝรั่งเศสอีก คือ ยกจังหวัดตราดและเกาะใต้แหลมสิงห์ลงไป (มีเกาะช้างเป็นต้น) ไปถึง ประจันตคีรีเขตร์ (เกาะกง) ดังนั้นฝรั่งเศสจึงถอนกำลังจากจันทบุรีไปตั้งที่ตราด ในปี พ.ศ. 2447
• วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 ไทยต้องยกดินแดนมณฑลบูรพา คือเขมรส่วนใน ได้แก่เสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสอีก ฝรั่งเศสจึงคืนจังหวัดตราดให้ไทย รวมถึงเกาะทั้งหลายจนถึงเกาะกูด
รวมแล้วในคราวนี้ ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 66,555 ตารางกิโลเมตร
• และไทยเสียดินแดนอีกครั้งทางด้านขวาของแม่น้ำโขง คืออาณาเขต ไซยะบูลี และ จำปาศักดิ์ตะวันตก ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2450
การเสียดินแดนให้อังกฤษ
• เสียดินแดน รัฐไทรบุรี รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐปะลิส ให้อังกฤษ เมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2451 (นับอย่างใหม่ พ.ศ. 2452) เพื่อขอกู้เงิน 4 ล้านปอนด์ทองคำอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี มีเวลาชำระหนี้ 40 ปี

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

" มะอึก " ผักคู่ครัวไทย


ถ้าจะพูดถึงผักพื้นบ้าน ทุกคนคงจะนึกถึงผักปลอดสารพิษที่หาได้ตามท้องถิ่นทั่วๆ ไป หรือเรียกอีกอย่างว่าผักสวนครัว หากมีพื้นที่บริเวณบ้านก็ควรที่ปลูกเองก็ดีนะค่ะ จะได้ห่างไกลจากสารเคมีบ้าง ผักที่อยากจะแนะนำให้รู้จักนั้นก็คือมะอึก หรือมะเขือปู่ มะปู่ มะเขือขน ทางภาคเหนือ หมากอึ ทางภาคอีสาน หรือลูกอึก ทางภาคใต้
มะอึกเป็นผักสวนครัวใช้ในการประกอบอาหาร เป็นไม้ล้มลุก เป็นพุ่มสูงประมาณ 2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาคล้ายกับมะเขือพวง ลำต้นจะมีหนามและขนอ่อนขึ้นทั่วทั้งต้น ใบจะมีสีเขียวหยักเว้าลึกมีหนามแข็งอยู่บนเส้นใบ ดอกออกเป็นช่อสีขาว ผลอ่อนจะมีสีเขียวผลสุกจะมีสีเหลืองอมส้มรสชาติเปรี้ยว ข้างในมีเมล็ดจำนวนมาก มีขนอ่อนขึ้นทั่วผล ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด จะออกผลช่วงปลายฤดูฝนและทนแล้งได้ดี
จะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่จะนำผลมะอึกมาประกอบอาหารได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลอ่อนหรือผลสุก เช่นนำมาทำน้ำพริกมะอึก แกงส้มกับหมูย่าง ใส่ส้มตำหรือแกงเนื้อ เพราะมะอึกจะให้พลังงาน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง วิตามินซีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้คือในการนำผลมะอึกมาทำอาหารนั้นก็ควรที่ขูดขนอ่อนๆ นั้นออกเสียก่อนและล้างให้สะอาด หรือไม่บางคนก็ปอกเปลือกมะอึกออกเพราะคิดว่ามันแข็ง จะได้สะดวกในการรับประทาน

สรรพคุณ

1. ผล : ละลายเสมหะแก้ไอ
2. ราก : แก้ดีฝ่อ ดีกระตุก ดับพิษร้อนภายใน กัดฟอกเสมหะกระทุ้งพิษไข้หัวทุกชนิด (อาการ ไข้ที่ออกตุ่มออกผื่น ตามผิวหนัง เช่น เหือด หืด หัด อีสุกอีใส)
3. ขน : ของผลมะอึกมาทอดกับไข่ให้เด็กรับประทานเพื่อขับพยาธิได้
4. ดอก : ช่วยรักษาอาการคัน

เกร็ดความรู้คู่ครัว
มะอึก ทางภาคเหนือเรียกว่า มะเขือปู่ มะปู่ มะเขือขน ทางภาคอีสานเรียก หมากอึ และทางภาคใต้เรียกว่าลูกอึก เป็นผักพื้นบ้านปลอดสารพิษ ที่หาได้ตามท้องถิ่นทั่วๆ ไปเป็นไม้ล้มลุก พุ่มสูงประมาณ 2 เมตร ต้นคล้ายมะเขือพวงมะอึกจะให้พลังงาน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง วิตามินซีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ผลมะอึก มีฤทธิ์ละลายเสมหะ แก้ไอ
สิ่งที่ลืมไม่ได้ในการนำผลมะอึกมาทำอาหาร คือต้องขูดขนอ่อนๆนั้นออกเสียก่อนและล้างให้สะอาด บางคนก็ปอกเปลือกออกเพราะคิดว่ามันแข็ง จะได้สะดวกในการรับประทาน
"Christmas Day" redirects here. For other uses, see Christmas (disambiguation) and Christmas Day (disambiguation)
Christmas or Christmas Day is a holiday observed generally on December 25 to commemorate the birth of Jesus, the central figure of Christianity. The date is not known to be the actual birthday of Jesus, and may have initially been chosen to correspond with either the day exactly nine months after some early Christians believed Jesus had been conceived,[9the date of the Roman winter solstice, or one of various ancient winter festivals.Christmas is central to the Christmas and holiday season, and in Christianity marks the beginning of the larger season of Christmastide, which lasts twelve days.
Although nominally a Christian holiday, Christmas is also celebrated by an increasing amount of non-Christians worldwide, and many of its popular celebratory customs have pre-Christian or secular themes and origins. Popular modern customs of the holiday include gift-giving, music, an exchange of greeting cards, church celebrations, a special meal, and the display of various decorations; including Christmas trees, lights, garlands, mistletoe, nativity scenes, and holly. In addition, several similar mythological figures, known as Saint Nicholas, Father Christmas and Santa Claus among other names, are associated with bringing gifts to children during the Christmas season.
Because gift-giving and many other aspects of the Christmas festival involve heightened economic activity among both Christians and non-Christians, the holiday has become a significant event and a key sales period for retailers and businesses. The economic impact of Christmas is a factor that has grown steadily over the past few centuries in many regions of the world.

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สำนวนสอนใจ


ลูกไก่ในกำมือ ความหมาย คือ ผู้ตกอยู่ในอำนาจ ไม่มีทางต่อสู้


หมาสองราง ความหมาย คือ คนที่ทำตัวเด้วยทั้งสองฝ่าย



ดินพอกหางหมู ความหมาย คือ การทำสิ่งใดก็ตาม ถ้ามัวเเต่ผัดวันปะกันพรุ่ง เพราะความเกียจคร้าน ไม่ทำให้เสร็จเสียโดยเร็ว ปล่อยให้ทับถมมากๆเข้างานก็จะเพิ่มขึ้นทุกที ทำเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเสร็จ


ปล่อยไก่ ความหมาย คือ เเสดงความโง่ออกมา






















วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Fried rice with curry powder

INGREDIENT
3 cloves garlic, finely chopped
2 tablespoons of oil
2 tablespoons of medium to hot curry powder (Indian or Thai)
1/2 lb of chicken breast, chopped
1 tablespoon of light soy sauce
2 tablespoons of fish sauce
1 teaspoon of sugar
2 spring onions, chopped finely
2-4 Thai red chiles or finger peppers, quartered lengthwise

Direction

1. Cook rice and cool in refrigerator for at least one hour. The longer the rice chills, the better.
2. Heat the oil in a wok, add garlic. Fry until golden (about 30 seconds).
3. Add the curry paste and fry for 1 minute. Add chicken and stir fry for 2 minutes or until meat turns color.
4. Stir in the rice and fry for about 2 minutes.
5. Stir in chiles, sugar, soy sauce, and fish sauce. Cook for a few minutes.
6.Serve and garnish with onion.

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา




บางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องเห็นใจคนอื่น ทำไมต้องรักษามารยาท ทำไมต้องระวังคำพูด คำถามที่ยกตัวอย่างมานี้ จะหาคำตอบได้จากคุณธรรมข้อที่ว่าด้วยเรื่อง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
การรู้จัก "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" หมายถึง รู้จักคิดถึงใจคนอื่น เห็นใจคนอื่น และคิดเปรียบเทียบดูว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีคนมาปฏิบัติหรือพูดกับเรา ในแบบที่เรากำลังจะทำหรือพูดออกไป คนเราส่วนมาก ย่อมไม่มีใครชอบอ่านหรือฟังคำพูดที่หยาบคาย หาเรื่อง เหยียดหยาม หรือประชดประชัด และแน่นอนว่า ต่อให้เป็นเพื่อนกัน ที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ เจอหน้ากันทุกวันหรือทุกสัปดาห์ เจอตัวเป็นๆกันบ่อยๆ ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนผ่านทางอินเตอร์เนตหรือเวบบอร์ด ถ้าหากเพื่อนมาทำตัวปากไม่ดีใส่เรา หรือพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจ ไม่ถนอมน้ำใจ ทำลายกำลังใจเรา เราก็ย่อมรู้สึกไม่พอใจ จริงไหม?
แล้วถ้าเป็นแค่คนรู้จักในอินเตอร์เนตล่ะ? ยิ่งไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่รู้จักตัวจริงกัน ก็ยิ่งเคืองกันง่ายกว่าเพื่อนจริงๆอีก ใช่ไหม? แถมเวลาพิมพ์อะไรไปในเวบบอร์ด คนอ่านก็ไม่ได้มาเห็นหน้าคนพิมพ์ด้วย ถ้าคนพิมพ์เจตนาจะล้อเล่น แหย่เล่น หรือต้องการทำให้ขำ แต่ถ้าเลือกใช้คำพูดไม่ดีพอ ไม่เหมาะสม หรือสื่อความหมายไม่ชัดเจน คนอ่านก็อาจจะเข้าใจผิดไปได้ง่ายๆ และอาจจะมีการโกรธเคือง ฉุนเฉียวกันได้แม้เป็นเรื่องแค่เล็กๆน้อยๆ เพราะฉะนั้น ก่อนที่ท่านๆจะพิมพ์อะไรลงไปในเวบบอร์ด และก่อนที่จะกดส่งข้อความ ขอความกรุณาช่วยพินิจพิเคราะห์ คิด พิจารณาดูหน่อยว่าถนอมน้ำใจคนอื่นพอหรือยัง หาเรื่องเขาหรือไม่ กวนใจใครหรือเปล่า สื่อในสิ่งที่อยากสื่อหรือยัง ไม่ใช่ว่าพิมพ์ๆไปไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้อ่านให้ดีอีกรอบว่าเราสื่อในสิ่งที่อยากสื่อจริงๆหรือ และสิ่งที่พิมพ์ออกไปนั้นผ่านการกลั่นกรองดีแล้วทั้งทางไวยากรณ์และทางจิตวิทยาหรือยัง
บางครั้ง การที่สื่อสารกันผ่านอินเตอร์เนต มันต้องนั่งมองแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าอีกฝ่าย ก็อาจจะทำให้เราๆท่านๆลืมตัวไป ลืมคิดไปว่าคู่สนทนาของเราน่ะเป็นคนนะ ไม่ใช่เครื่องจักร บางทีก็เลยเผลอทำอะไรที่ทำร้ายจิตใจเขาไป สิ่งที่คนเราที่เล่นอินเตอร์เนตควรระลึกไว้เสมอก็คือ อีกฟากหนึ่งของคอมพิวเตอร์ มีคนเป็นๆนั่งอยู่ เหมือนที่เรานั่ง และคนที่เราคุยอยู่ด้วยก็ล้วนแต่เป็นคน เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา มีความคิด มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์ของมนุษย์เหมือนๆเรา เขาก็รู้จักโกรธ รู้จักเศร้า รู้จักเจ็บใจหรือน้อยใจได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราจะทำหรือจะพูดอะไร ก็ควรคิดถึงจิตใจของอีกฝ่ายด้วย ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สิ่งที่สังเกตเห็นมามากในสังคมอินเตอร์เนตหลายๆแห่ง ไม่ว่าจะ webboard, message board, chat room หรือตามเกม online ต่างๆ ปัญหาความขัดแย้งหรือการทะเลาะเบาะแว้ง มักจะมีต้นเหตุมาจากการไม่รู้จักควบคุมคำพูดและการกระทำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บางครั้งก็ด้วยความที่จิ้มๆคีย์บอร์ดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นี่แหละ ที่ทำให้ผู้เล่น (user, player หรืออะไรก็แล้วแต่) เกิดความรู้สึกว่า เราอยู่ตรงนี้ แต่เวลาทำหรือพูดอะไรออกไป ก็ไม่มีใครมีปัญญามารู้ตัวจริงของเราได้ ไม่มีใครรู้จักเราว่าเราเป็นใครมาจากไหน หน้าตายังไง ชื่อจริงๆชื่ออะไร ก็เลยหลงไปในทางที่ผิด ด้วยการใช้ข้อได้เปรียบที่เรียกว่า anonimity (การไม่เปิดเผยตัวจริง) ไปในทางเสื่อมเสีย อาทิเช่น ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ว่าร้ายคนอื่น ก่นด่า หาเรื่องวิวาท โกหกปลิ้นปล้อน กลับกลอก ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าพูดดี ลับหลังด่าสาดเสียเทเสีย พูดจากระทบกระแทก ประชดประชัน ด่ากันซึ่งๆหน้าโดยปราศจากความเกรงใจ หรือพูดจาแบบไม่ให้เกียรติกันในฐานะมนุษย์ กล่าววาจาผรุสวาท ด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง ใช้อารมณ์ฉุนเฉียว ใช้ความก้าวร้าว คิดแต่จะระบายความโกรธ ความเกลียดใส่คู่สนทนา โดยไม่คำนึงถึงอีกฝ่ายว่าฟังหรืออ่านแล้วจะรู้สึกไม่ดีเช่นไร หรือบางคนก็ทำอะไรร้ายๆหลายอย่างที่ในชีวิตจริงไม่กล้าทำ แต่ในอินเตอร์เนตเมื่อเห็นว่าไม่ได้อยู่ซึ่งๆหน้าก็ออกลาย ซ่า อาละวาด ด่าทอ หยาบคาย ก้าวร้าว ทำเรื่องต่างๆนานาไว้มาก จนก่อความเดือดร้อนหรือเจ็บช้ำน้ำใจแก่คนอื่นๆในสังคมอินเตอร์เนตนั้นๆคุณล่ะเคยทำหรือเปล่า? ถ้าเคย ทำไมถึงทำ? ก่อนทำหรือทำแล้วรู้หรือเปล่าว่ามันไม่ดี? แล้วรู้รึเปล่าว่าผลที่ได้เป็นยังไง? หรือถ้าไม่เคยทำ เคยสงสัยหรือเปล่าว่าทำไมคนอื่น(บางคน)ถึงทำ? แล้วคุณเคยเห็นผลมั้ย ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น คนที่ทำเรื่องเช่นนั้นได้ มักจะเป็นคนที่ไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่เคารพในความเป็นคนของคนอื่น ไม่มีสติยั้งคิด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาเหล่านั้นคงจะบิดเบี้ยวไป จึงได้ไม่คิดถึงใจคนอื่นนั่นเอง หรือไม่ก็โมโหโทโสจนลืมตัวลืมตีน เลยพูดจาหรือทำอะไรที่วิญญูชนเขาไม่ทำกันลงไปได้ โดยไม่ทันระงับอารมณ์ สังคมอินเตอร์เนต แม้มันจะเป็นแค่ของสมมติ แต่คนที่เข้ามาข้องเกี่ยวในสังคมสมมตินี้ก็เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่แค่ pixel (เม็ดสี) บนหน้าจอ ดังนั้นสังคมจะดีหรือเลวได้ ก็ขึ้นอยู่กับคนในสังคม ถ้าทุกคนมีน้ำใจต่อกัน สื่อสารกันด้วยอัธยาศัยอันดีงาม สังคมก็จะสงบสุขและไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าทุกคนรู้จักควบคุมตนเอง ไม่ให้พูดหรือพิมพ์อะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร ไม่ต่อว่าคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล สังคมก็จะมีแต่ความรักสามัคคี และจะส่งผลให้คนในสังคมนั้นมีสันติสุข และเป็นสังคมที่น่าอยู่ ในทางกลับกัน การไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือการใช้คำหยาบคายอยู่เป็นประจำ นอกจากจะทำร้ายจิตใจคนอื่นและทำร้ายสังคมส่วนรวมแล้ว ยังทำร้ายตัวคุณเองด้วย เพื่อนๆอาจจะตีตัวออกห่าง สังคมเริ่มรังเกียจ หรือคนที่เคยคุยด้วยก็จะไม่อยากคุยกับคุณอีก เพราะเขา"เข็ด"แล้วนั่นเอง (ใครกันล่ะจะชอบให้คนอื่นโขกสับ แม้จะเป็นแค่คำพูดในหน้าจอก็เถอะ) อีกหน่อยคนประเภทนี้ก็จะไม่มีใครคบ เรียกว่าตัวเองทำตัวเองโดยแท้ เพราะฉะนั้นโมจิในฐานะสต๊าฟของ GG และในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง ขอความกรุณาสมาชิกทุกท่าน ให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ขอให้คิดก่อนพูด(พิมพ์) บางสิ่งที่ไม่สมควรหรือสิ่งที่คิดได้ว่าพูดไปแล้วจะทำให้คนอื่นเสียใจ ก็ไม่ควรพูด การรักษามารยาทในสังคมจริงของคุณ คุณทำอย่างไร ในอินเตอร์เนตก็ควรนำมารยาทเหล่านั้นมาใช้ด้วย อันนี้ไม่ได้ขอเพื่อตัวเอง แต่เพื่อรักษาความสงบของบอร์ด เพื่อส่วนรวม เพื่อรักษาน้ำใจของเพื่อนๆ และรักษาน้ำใจของตัวคุณเองด้วย เพราะการทะเลาะเบาะแว้งหรือด่ากันนั้นไม่มีข้อดี มีแต่ข้อเสีย และเมื่อเกิดการวิวาทขึ้นแล้วย่อมจะเจ็บ(ใจ)ทั้งสองฝ่าย ดังนั้นในเมื่อเราต่างก็เป็นเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน มีความสนใจคล้ายๆกัน และชอบในสิ่งที่คล้ายๆกัน เราก็ควรจะรักกันไว้ดีกว่าทะเลาะกัน ก็ไม่ได้สนับสนุนหรือส่งเสริมให้ประจบประแจงกันหรืออ่อนน้อมถ่อมตนมากมายอะไร แค่อยากให้รู้จักคิดรักษามารยาทและใช้คำสุภาพให้ติดเป็นนิสัย อย่าปล่อยให้อารมณ์มามีอำนาจเหนือความคิดและเหตุผลได้ และอย่าให้ความหยาบคายกลายเป็นนิสัยติดตัว การรักษามารยาทเช่นนี้ ไม่ใช่การเสแสร้ง แต่เป็นการประนีประนอมเพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้ สังคมนอกจากจะมีกฎระเบียบแล้ว ยังมีมารยาทอีกด้วย จะทำอะไรต้องดูกาลเทศะ ดูความเหมาะสม และปรับตัวเข้าหาสังคมส่วนรวม ซึ่งคนที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่งๆก็ต้องยอมรับและยึดถือแนวทางปฏิบัติคล้ายๆกัน (เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม) ไม่ใช่ใครคิดจะละเมิดอะไรก็ละเมิด แถมยังละเมิดจนไปเบียดเบียนคนอื่น หรือก่อความเดือดร้อนให้ใครๆ ไม่ว่าทางกายหรือวาจาก็ตาม

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สรรพคุณที่ทำให้ดอกคำฝอยได้แจ้งเกิดในใจของแฟนๆ มาจากความสามารถในการลดไขมันในเส้นเลือด แต่ที่จริงแล้วมันยังมีประโยชน์มากกว่านั้น สลายลิ่มเลือด คนที่ชอบกินของหวานจะมีน้ำตาลในเลือดสูง จากนั้นเลือดจะเหนียวข้นจับตัวกลายเป็นลิ่มเลือด ทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตไม่ดี แต่คำฝอยมีสรรพคุณช่วยสลายลิ่มเลือดให้เล็กลงและป้องกันไม่ให้เลือดเกาะตัวกลายเป็นลิ่มเลือดขึ้นมาใหม่ หัวใจแข็งแรง เมื่อตัวยาจากดอกคำฝอยสลายลิ่มเลือดไปแล้ว ร่างกายก็จะมีเลือดไปเลี้ยงที่หัวใจมากขึ้น ทำให้หัวใจแข็งแรง และยังช่วยลดไขมันอุดตันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจไปในตัว รักษาแผลกดทับ ตำราแพทย์แผนโบราณบอกว่าให้ต้มดอกคำฝอย 500 กรัม ในน้ำ 7 ลิตร ต้มด้วยไฟปานกลางประมาณ 2 ชั่วโมง จนดอกคำฝอยเป็นสีขาว ตักกากออกให้เหลือแต่น้ำ แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ต่อไปจนน้ำเหนียวเป็นกาว จากนั้นก็เอาน้ำยาทาลงบนผ้า เอาไปปิดที่แผลกดทับ ทำติดต่อกันประมาณ 1 อาทิตย์ แผลกดทับก็จะหายเอง

TIP*****
ถึงแม้ดอกคำฝอยจะมีดีหลายอย่าง แต่ถ้าดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายก็กลายเป็นโทษได้เหมือนกัน เพราะน้ำดอกคำฝอยมีคุณสมบัติสลายลิ่มเลือด ถ้าดื่มมากๆ จะทำให้โลหิตจาง เลือดน้อย แถมยังเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจหวิว มึนศีรษะ กลายเป็นผู้หญิงขี้โรคโดยไม่รู้ตัว

การสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ

ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยสำหรับโลกไร้พรมแดนในยุคนี้ บริษัทในเมืองไทยมีทั้งบริษัทคนไทยที่ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติ และบริษัทข้ามชาติที่ขยายสาขาเข้ามาในเมืองไทย บริษัททั้ง 2 ประเภทต่างก็ต้องการผู้ที่มีความสามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างราบรื่น เพื่อที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมืออาชีพ ไม่ติดขัด หรือเกิดปัญหาในเรื่องการสื่อสาร ยิ่งไปกว่านั้นหากคุณได้เข้าทำงานในบริษัทข้ามชาติ คุณจะได้พบกับภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ซึ่งถึงแม้จะเป็นคนไทยด้วยกัน ก็มักจะสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษเวลาส่งอีเมลหากัน บางเวลาคุยกันต่อหน้าหรือทางโทรศัพท์ก็มักจะได้ยินภาษาไทยปนอังกฤษตลอดเวลา
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว คนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษล่ะจะมีโอกาสได้งานกับเขาบ้างหรือเปล่า
หากคุณไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่อยากจะได้งานดี ๆ ในบริษัทดัง ๆ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณได้งาน คือ คุณต้องมีทักษะเฉพาะทาง ที่ทำให้ตัวคุณโดดเด่นขึ้นมา และสามารถกลบข้อด้อยในเรื่องภาษาอังกฤษได้ เช่นงานในสายที่ไม่ต้องติดต่อกับต่างประเทศโดยตรง เช่น งานด้านกราฟิกดีไซน์ งานด้านสถาปัตยกรรม งานด้านวิศวกรรม งานด้านการบัญชี เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี คุณจำเป็นต้องขวนขวายเรียนรู้เพิ่มเติมด้วย เพื่อที่จะสามารถปรับตัวอยู่ในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษอย่างมากเช่นนี้ และหากต้องการให้การทำงานมีความก้าวหน้าและพัฒนาขึ้น คุณต้องฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มเติมอย่างแน่นอน เพื่อให้สามารถอ่านตำรา หรืองานวิจัยภาษาอังกฤษได้ เพราะองค์ความรู้ส่วนมากมักจะพัฒนามาจากทางตะวันตก คุณจะเปิดโอกาสตัวเองสำหรับการเรียนรู้ที่กว้างไกลได้เพิ่มขึ้นด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานในตำแหน่งใด ในปัจจุบันภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างมากในการทำงาน บริษัทข้ามชาติส่วนใหญ่กำหนดว่า ผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องผ่านข้อกำหนดในเรื่องภาษาอังกฤษด้วย ตามมาตรฐานแล้วจะต้องมีคะแนน TOEIC (Test of English for International Communication) ไม่ต่ำกว่า 550 จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
หากคุณพบว่าตัวเองช่างอ่อนด้อยเรื่องภาษาเหลือเกิน อย่าเพิ่งท้อแท้ใจ ทุกคนมีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาแล้วทั้งนั้นจากโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนและใช้งาน คุณก็เลยยังไม่เก่งสักที การฝึกภาษาอังกฤษสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเสียสตางค์ลงเรียนตามสถาบันสอนภาษาราคาแพง เพราะภาษาอังกฤษมีอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณอยู่แล้วทั้งการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง แค่คุณตั้งใจ เอาจริงเอาจัง แล้วภาษาอังกฤษของคุณก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
พกดิกชันนารีหรือ Talking Dict. ติดตัวไปด้วยเสมอ ตามถนนหนทางมีป้ายโฆษณามากมายที่ใช้ภาษาอังกฤษ คุณอาจต้องฝึกให้ตัวเองเป็นคนช่างสังเกต และช่างสงสัยมากขึ้น เวลาเจอคำภาษาอังกฤษที่ไม่เข้าใจ ก็หยิบ Talking Dict. ขึ้นมาหาความหมาย เพื่อคลายสงสัยได้ทันที
เปลี่ยนคลื่นวิทยุ ลองเปลี่ยนจากคลื่นเพลงไทยสากลยอดนิยมมาฟังเพลงแบบอินเตอร์กันบ้าง การฟังเพลงภาษาอังกฤษเยอะ ๆ คุณจะได้ทั้งคำศัพท์ สำนวน และสำเนียง พยายามออกเสียงร้องตาม และทำความเข้าใจกับเนื้อเพลง และคำศัพท์สำนวนที่ใช้
สมัครสมาชิกเคเบิ้ลทีวี แล้วหันมาดูข่าวจาก BBC หรือ CNN เปลี่ยนจากละครหลังข่าวช่อง 3 5 7 9 มาเป็นซีรีส์ฝรั่งจะช่วยให้คุณซึมซับภาษาอังกฤษเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย แต่น่าทึ่งกับความเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา
ดูหนัง Soundtrack โดยไม่อ่าน Subtitle สำหรับวิธีนี้ถ้าไม่อยากเสียสตางค์ดูหนังในโรงภาพยนตร์ ซึ่งอาจทำให้เสียสตางค์ฟรีเพราะดูไม่รู้เรื่อง เแนะนำให้ซื้อแผ่นมาดูที่บ้าน ถึงช่วงไหนที่ฟังไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจก็สามารถกดย้อนไปดูได้ตามสบาย อย่าลืมหัดออกเสียงให้ได้สำเนียงอินเตอร์ด้วย
อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอย่าง Bangkok Post หรือ Time Magazine จับใจความโดยอาศัยข้อความแวดล้อมและบริบท ไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายทุกคำ เพราะบางครั้งสิ่งที่อ่านเป็นสำนวนที่ไม่ได้แปลตรงตัว ถึงแม้คุณจะรู้ความหมายทุกคำแต่ก็ไม่สามารถแปลออกมาได้อยู่ดี พยายามทำความเข้าใจว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร แล้วจดจำสำนวนของเขามาใช้ได้ถูกต้อง
เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อได้เรียนรู้แล้วต้องกล้าที่จะใช้ด้วย ไม่ใช่เจอฝรั่งแล้วคุณก็เดินหนี ก็เลยไม่มีโอกาสได้ใช้งานเสียที อย่ากลัวว่าจะพูดผิด เพราะผิดเป็นครูอยู่แล้ว
ถ้าคุณได้ใช้บ่อย ๆ คุณจะเรียนรู้ได้เองว่าที่ถูกเขาใช้กันอย่างไร และเมื่อนั้นคุณจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจ ต่อไปภาษาอังกฤษก็จะไม่เป็นอุปสรรคในการหางานในฝันของคุณอีก

Moringa oleifera**

Moringa oleifera, commonly referred to simply as "Shevaga" in Marathi, "Moringa" (from Tamil: MurungaiKannada Malayalam: Muringnga), is the most widely cultivated species of the genus Moringa, which is the only genus in the family Moringaceae. It is an exceptionally nutritious vegetable tree with a variety of potential uses. The tree itself is rather slender, with drooping branches that grow to approximately 10 m in height. In cultivation, it is often cut back annually to 1 meter or less and allowed to regrow so that pods and leaves remain within arm's reach.

General nutrition
The immature green pods called “drumsticks” in marathi Shewga are probably the most valued and widely used part of the tree. They are commonly consumed in India and are generally prepared in a similar fashion to green beans and have a slight asparagus taste. The seeds are sometimes removed from more mature pods and eaten like peas or roasted like nuts. The flowers are edible when cooked, and are said to taste like mushrooms. The roots are shredded and used as a condiment in the same way as horseradish; however, it contains the alkaloid spirochin, a potentially fatal nerve-paralyzing agent, so such practices should be strongly discouraged.
The leaves are highly nutritious, being a significant source of beta-carotene, Vitamin C, protein, iron, and potassium. The leaves are cooked and used like spinach. In addition to being used fresh as a substitute for spinach, its leaves are commonly dried and crushed into a powder, and used in soups and sauces. Murungakai, as it is locally known in Tamil Nadu and Kerala, is used in Siddha medicine. The tree is a good source for calcium and phosphorus. In Siddha medicines, these drumstick seeds are used as a sexual virility drug for treating erectile dysfunction in men and also in women for prolonging sexual activity.
The Moringa seeds yield 38–40% edible oil (called ben oil from the high concentration of behenic acid contained in the oil). The refined oil is clear, odorless, and resists rancidity at least as well as any other botanical oil. The seed cake remaining after oil extraction may be used as a fertilizer or as a flocculent to purify water.
The bark, sap, roots, leaves, seeds, oil, and flowers are used in traditional medicine in several countries. In Jamaica, the sap is used for a blue dye.
The flowers are also cooked and relished as a delicacy in West Bengal and Bangladesh, especially during early spring. There it is called shojne ful and is usually cooked with green peas and potato.

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ต้นไม้ขจัดพิษ











สาวน้อยประแป้ง เป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั้งภายนอกและภายในอาคารมานานแล้ว เพราะเลี้ยงง่าย ทน และใบมีลวดลายสวยงาม แต่ น้อยคนนักที่จะรู้ถึงคุณค่าของสาวน้อยประแป้งในฐานะเป็นไม้ที่ช่วยฟอกอากาศ สามารถดูดสารพิษได้มากชนิดหนึ่ง สาวน้อยประแป้งมีใบใหญ่คล้าย ใบพาย มีตั้งแต่สีเขียวอ่อน เขียวแก่ไปจนถึงสีเหลืองอ่อนๆ มีลายแต้มประปรายสีขาวหรือเหลืองอ่อน จึงได้ชื่อว่า สาวน้อยประแป้งเป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญ เติบโตได้ดีในที่ร่ม ชอบอากาศอบอุ่นและความชื้นสูง แต่ก็สามารถปรับตัวเจริญเติบโตได้ดีในห้องที่มีความเย็นและสภาพอาการแห้งแล้ง จึงเป็นพืชที่ปลูก และดูแลง่าย คุณสมบัติของสาวน้อยประแป้งที่มีใบขนาดใหญ่ จึงทำให้เป็นไม้ประดับที่ดูดสารพิษภายในห้องได้เป็นอย่างดี

หมากเหลือง
Areca Palm หรือ Yellow Palm
หมากเหลือง เป็นไม้ประดับภายในอาคารที่เป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่ง เพราะมีความสวยงาม มีความทนต่อสภาพแวดล้อมภายในอาคาร และคายความชื้นให้แก่อากาศภายในห้องได้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษจากอากาศได้ในปริมาณมากเช่นกัน หมากเหลืองเป็นพืชตระกูลปาล์มที่ปลูกง่าย โตเร็ว เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลาง สูงประมาณ 5–10 เมตร ลำต้นมีลายคล้ายข้อปล้อง โค้งงอและตั้งตรงได้สัดส่วนสวยงาม เจริญพันธุ์ด้วยการแตกหน่อเป็นกอประมาณ 5–12 ต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปขนนก แผ่นใบมีสีเขียวอมเหลือง ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอ่อนเป็นอยู่ใต้กาบใบ ภายใต้สภาพแวดล้อมห้อง หมากเหลืองขนาดสูง 1.8 เมตรจะคายน้ำประมาณ 1 ลิตร ทุกๆ 24 ชั่วโมง ในบรรดาไม้ประดับดูดสารพิษด้วยกัน หมากเหลือง เป็นพืชที่ดูดสารพิษจากอากาศได้ในประมาณมากที่สุดชนิดหนึ่งที่แนะนำให้ปลูกไว้ใน อาคารสำนักงาน หรือ บ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Chrgsalido carpus lutesers
วงศ์ Arecaceae (Palm)
ถิ่นกำเนิด มาดากัสก้า
แสงแดด แดดจัด
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำมาก
การดูแล ควรให้น้ำตอนเช้าวันละครั้ง แต่อย่าให้แฉะ ให้ปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง หมั่นฉีดพ่นใบด้วยละอองน้ำ จะช่วยป้องกันแมลงได้
การปลูก นิยมปลูกลงกระถาง โดยใช้ดินที่สมบูรณ์ มีส่วนผสมของดินร่วน ทรายแกลบ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษใบไม้ผุ ในอัตราส่วน 4:2:1:2:1
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ดหรือแยกกอ
อัตราการคายความชื้น มาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก

เดหลี
Peace Lily
เดหลีเป็นไม้ประดับที่โดดเด่นมากชนิดหนึ่ง เนื่องจากให้ดอกสีขาวที่สวยงาม จึงมักเป็นที่นิยมนำไปเป็นไม้ประดับในอาคาร เป็นไม้ที่คายความชื้นสูง ในขณะที่มีความสามารถสูงในการดูดพิษภายในอาคาร เดหลีเป็นไม้ประดับที่มีใบสีเขียวเข้มมันเป็นวาว ดอกเป็นช่อสีขาวหรือขาวแกมเหลือง กาบหุ้มช่อดอกมีสีขาวคล้ายดอกหน้าวัว เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงประมาณ 30–60 เซนติเมตร โดยธรรมชาติเดหลีชอบขึ้นอยู่ตามริมลำธารที่มีร่มเงาในป่าฝนเขตร้อน แต่เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคารเดหลีก็สามารถปรับตัวได้ดี แม้จะมีความชื้นต่ำและรับแสงจากหลอดไฟฟ้า เพียงแต่ดินต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ เป็นไม้ประดับในจำนวนน้อยชนิดที่สามารถออกดอกได้ภายในอาคาร
เดหลีสามารถดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์ อาซีโตน ไตรคลอไรเอทีรีน เบนซีนและฟอร์มาดีไฮด์ และสามารถดูดได้ในปริมาณมาก จึงไม่ควรลืมที่จะนำเดหลีประดับไว้ในสำนักงานหรือบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Spathiphyllum Clevelandii
วงศ์ Araceae
ถิ่นกำเนิด โคลัมเบีย เวเนซูเอลา
แสงแดด แสงแดดอ่อน รำไร
อุณหภูมิ 16–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้น ควรรดมากขึ้นถ้าอากาศร้อน แต่ถ้าอากาศเย็น ก็ลดปริมาณการรดน้ำลง ใช้ปุ่ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1–2 ครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบจะช่วยป้องกันแมลงได้
การปลูก ปลูกลงกระถางโดยใช้ส่วนผสมของ ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ และทรายหยาบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1
การขยายพันธุ์ การแยกกอ
อัตราการคายความชื้น มาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก

เยอบีร่า
Gerbera Daisy
เยอบีร่าไม้ประดับที่ให้ดอกสีสวยสดใส และคงทนอยู่นาน แม้จะตัดออกมาปักแจกัน แล้วก็ยังอยู่ได้นานหลายวัน จึงเป็นไม้ประดับที่นิยมนำมาประดับในอาคาร ไม่เพียงความสวย เยอบีร่ายังมีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษภายในอาคารได้อย่างดีเยี่ยม เยอบีร่าเป็นพรรณไม้พุ่ม มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ใบเป็นแฉกมีสีเขียวสด ก้านใบและใบมีขนละเอียด ก้านดอกแตกออกจากลำต้นใต้ดินยาวตั้งตรง ดอกมีสีสันหลากหลาย เช่น แดง ส้ม เหลือง หรือแม้แต่ม่วง ชมพู ขาว เป็นต้น
เยอบีร่าเป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความสามารถสูงในการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคาร มีอัตราการคายความชื้นสูง ประกอบกับมีความสวยงาม จึงเป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า เหมาะแก่การปลูกไว้ประดับในอาคารสำนักงานและบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Gerbera Jamesonii
วงศ์ Compositae
ถิ่นกำเนิด อาฟริกาใต้
แสงแดด แสงแดดจัด กึ่งแดด
อุณหภูมิ 16–18 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นปานกลาง
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล เป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด ต้องการน้ำและความชื้นในระดับปานกลาง จึงควรให้น้ำอย่างเพียงพอ แต่อย่าให้แฉะ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอ
การปลูก เจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์และร่วนซุย ใช้ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ ทรายหยาบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1
การขยายพัยธุ์ การแบ่งหน่อหรือแยกกอ
อัตราการคายความชื้น มาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก

บอสตันเฟิร์น
Boston Fern
เฟิร์นเป็นพืชคู่โลกที่มีมานานแสนนานแล้วชนิดหนึ่ง ดังปรากฎหลักฐานจากร่องรอยในหินฟอสซิลที่ขุดพบ เฟิร์นยังเป็นไม้ประดับยอดนิยมชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาเป็นไม้ประดับทั้งในและนอกอาคาร บอสตันเฟิร์นมีลักษณะก้านใบแข็งโค้งออกและทิ้งตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ใบขึ้นหนาทึบไม่มีดอก นิยมปลูกในกระถางแขวนหรือในกระถางใช้ประดับตามเสาหิน เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร บอสตันเฟิร์นต้องการการดูแลพอสมควร เนื่องจากต้องการความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำ สีของใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและร่วงอย่างรวดเร็ว จึงควรหมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นหรือฉีดพ่นด้วยละอองน้ำ
บอสตันเฟิร์นเป็นไม้ประดับที่ช่วยทำความสะอาดให้แก่อากาศภายในได้ดีชนิดหนึ่ง สามารถดูดสารพิษได้มาก โดยเฉพาะจำพวกฟอร์มาดีไฮด์ และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่อาคารภายในอาคารได้อย่างดี
ชื่อวิทยาศาสตร์ Nephrolepis exaltata
วงศ์ Polypodiaceae (fern)
ถิ่นกำเนิด เขตร้อน
แสงแดด กึ่งแดด
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำมาก
การดูแล หมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ โดยเฉพาะเวลาที่อากาศร้อนและแห้งควรฉีดพ่นละอองน้ำ ให้ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำให้เดือนละครั้ง
การปลูก ขึ้นได้ดีในดินร่วนที่เก็บความชื้นได้ดี ส่วนผสมของดิน ใช้ดินร่วน ทราย เศษอิฐหัก ใบไม้ผุ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน
การขยายพันธุ์ การแยกกอ
อัตราการคายความชื้น มาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก

วาสนาอธิษฐาน
Cornstalk Plant
ความจริงแล้ว วาสนาอธิษฐาน เป็นไม้ที่มีขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 5–6 เมตร ชอบแสงแดดจัด แต่ก็เป็นที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร เนื่องจากรูปทรงที่สวยแปลกตาและคงทนอยู่ได้แม้ในที่มีแสงสว่างน้อย วาสนาอธิษฐานมีลำต้นตั้งตรง มีสีน้ำตาลอ่อน ใบแตกจากหน่อที่ปลายลำต้น เป็นใบเดี่ยวลักษณะเรียวยาว ปลายแหลมโคนสอบเข้าหาใบซึ่งเป็นกาบติดกับลำต้น พื้นใบมีสีเขียวมีลายสีเหลืองพาดกลางไปตามความยาวของใบ ใบอ่อนจะแตกตรงส่วนยอดของต้น ดอกออกเป็นช่อสีเหลือง กลิ่นหอมส่งกลิ่นไปได้ไกล นิยมนำลำต้นของวาสนาอธิษฐานมาตัดเป็นท่อนๆ ยาว 6–8 นิ้วแล้วตั้งในถาดตื้น หล่อน้ำไว้นำไปตั้งประดับดูสวยงาม
วาสนาอธิษฐาน เป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่ดูดสารพิษภายในอาคารจำพวก ฟอร์มาดีไฮด์ ได้มีประสิทธิภาพ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena Fragrans Massangeana
วงศ์ Aqavaceae (aqave)
ถิ่นกำเนิด เอธิโอเปีย ไนจีเรีย กินี
แสงแดด แดดจัด
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำมาก
การดูแล เป็นพืชที่ชอบแดดจัดแต่ก็อยู่ในที่ร่มรำไรได้ ควรหมั่นรดน้ำ เพื่อให้ดินชุ่มน้ำอยู่เสมอแต่อย่าให้แฉะ ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบ โดยใช้ผ้าเช็ดก็จะดี ช่วยป้องกันแมลงจำพวกเพลี้ยได้
การปลูก ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ โดยใช้ปักชำยอดหรือลำต้น หรือตัดลำต้นเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 6–8 นิ้ว ตั้งใส่ถาดตื้นๆ หล่อน้ำไว้จนแตกหน่อแตกใบ
อัตราการคายความชื้น ปานกลางถึงมาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก
มรกตแดง
Red Emerald Philodendron
มรกตแดง เป็นพันธุ์ไม้ที่ดูดสารพิษได้ดีที่สุดในบรรดาพันธุ์ไม้ในตระกูลฟิโลเดนดรอน เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกและดูแลรักษาง่าย จึงถูกแนะนำให้นำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร มรกตแดงเป็นพืชพันธุ์ไม้เลื้อยในตระกูลฟิโลเดนตรอน ตามธรรมชาติจะเลื้อยพันต้นไม้ใหญ่ในป่า จึงไม่ชอบแสงแดดจัด แต่เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภายในอาคารก็เป็นไม้ที่แข็งแรง ปลูกเลี้ยงง่ายไม่ค่อยมีปัญหา มรกตแดงมีใบใหญ่ สีเขียวอมแดงเป็นมัน ดูสวยงาม การปลูกภายในอาคารให้ใช้กาบมะพร้าวหุ้มไม้ปักไว้ในกระถางพรมน้ำให้ชื้น เพื่อให้ยึดเกาะ ถ้าต้องการให้แตกกิ่งก้านสาขามากๆ ก็ควรหมั่นเด็ดยอดตั้งแต่ยังเล็กอยู่
ชื่อวิทยาศาสตร์ Philodendron Erubescens
วงศ์ Araceae (arum)
ถิ่นกำเนิด อเมริกาใต้
แสงแดด ใต้ร่มหรือร่มรำไร
อุณหภูมิ 16–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล ควรรดน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ หมั่นเช็ดใบด้วยผ้าชุบน้ำพอหมาด จะทำให้ใบมีสีเขียวเป็นมันดูสวยงาม ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายในน้ำรดเดือนละครั้ง
การปลูก ขึ้นได้ดีในดินร่วนซุย ส่วนผสมของดินใช้ ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน ใบไม้ผุ 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ วิธีปักชำยอดหรือลำต้น
อัตราการคายความชื้น ปานกลาง
อัตราการดูดสารพิษ ปานกลาง


แววมยุรา
Prayer Plant
แววมยุราเป็นพืชพันธุ์ไม้เลื้อยกึ่งคลุมดินในตระกูลเดียวกับคล้า แต่การปลูกเลี้ยงง่ายกว่ามาก เพราะมีความอดทนและเจริญเติบโตได้ง่ายในทุกสภาวะของห้อง แววมยุรามีใบด้านหน้าสีเขียวสลับลายเขียวแก่หรือน้ำตาล ส่วนหลังสีเขียวอมแดงหรือม่วงมีลายสลับเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยใบมีลวดลายและสีสันสวยงามคล้ายหางนกยูงจึงได้ชื่อไทยว่า “แววมยุรา” ส่วนภาษาอังกฤษได้ชื่อว่า “Prayer Plan” แปลว่า ต้นไม้พนมมือ โดยตั้งชื่อตามลักษณะการกระดกของใบตั้งขึ้นเหมือนการพนมมือตอนใกล้ค่ำ พอตอนรุ่งเช้าใบก็จะคลี่ออกตามเดิม
แววมยุราเป็นไม้ประดับในอาคารที่ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นภายในห้องได้ดี ถึงแม้ว่าคุณสมบัติในการดูดสารพิษจะน้อยไปสักนิดก็ตาม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Maranta Leuconeura
วงศ์ Marantaceae
ถิ่นกำเนิด บราซิล อเมริกาใต้
แสงแดด กึ่งแดด กึ่งร่ม
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำมาก
การดูแล เป็นพันธุ์ไม้ที่ต้องการแดดปานกลาง แต่ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง ต้องการน้ำมาก ความชื้นสูง จึงควรรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ ถ้าอากาศร้อนหรือแห้งแล้งมาก ก็ให้ฉีดพ่นละอองน้ำให้ใบชุ่มชื้น ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละครั้ง
การปลูก ควรปลูกในดินที่อุ้มน้ำได้ดี ส่วนผสมดินใช้ดินเหนียวผสมดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ การแยกกอหรือแบ่งเหง้าที่โตเต็มที่แล้วมาปลูก
อัตราการคายความชื้น ปานกลางถึงมาก
อัตราการดูดสารพิษ น้อย

เศรษฐีเรือนใน
Spider Plant
เศรษฐีเรือนใน เป็นไม้ประดับชนิดแรกๆ ที่ได้รับการเผยแพร่จากองค์การนาซ่าของสหรัฐอเมริกา ว่ามีคุณสมบัติในการดูดสารพิษภายในอาคารได้เป็นอย่างดี เศรษฐีเรือนในเป็นไม้กอขนาดเล็กที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั้งในและนอกอาคาร โดยปลูกในกระถางแขวนหรือปลูกเป็นพืชคลุมดินก็ได้ ใบมีลักษณะคล้ายใบหญ้า ขอบใบมีสีเขียวยาวตลอดใบ กลางใบเป็นสีขาว ใบมีความยาว 15–30 ซม. โค้งงอลงด้านล่าง
เศรษฐีเรือนใน มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน เมื่อแก่เต็มที่จะมีลำต้นอ่อนแตกออกมาเป็นกิ่ง มีต้นอ่อนเล็กๆ เป็นกระจุกอยู่ตรงปลายของกิ่ง ดูน่ารักดี ฝรั่งจึงเรียกว่า ต้นแมงมุม (Spider Plant) หรือ ต้นเครื่องบิน (Airplane Plant) เนื่องจากเวลาลมพัดต้นอ่อนจะแกว่งไปมาเหมือนเครื่องบิน ต้นอ่อนที่แตกออกมานี้สามารถตัดไปปลูกเป็นต้นใหม่ได้อย่างง่ายดาย
เศรษฐีเรือนในเป็นพืชที่ไม่ค่อยคายน้ำเท่าใดนัก แต่มีการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคารได้ดีมากชนิดหนึ่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Chlorophytum Comosum
วงศ์ Liliaceae (Lily)
ถิ่นกำเนิด อัฟริกาใต้
แสงแดด กึ่งแดด กึ่งร่ม
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นต่ำ
น้ำ ต้องการน้ำน้อย
การดูแล ชอบแสงแดดอ่อนๆ ไม่ชอบแสงแดดตรงๆ ไม่ต้องการน้ำมากสัปดาห์ละครั้งก็พอ หรือให้สังเกตจากหน้าดินว่าแห้งเกินไปหรือไม่ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรด 2 เดือนต่อครั้ง
การปลูก ชอบดินร่วนซุย โดยใช้ดินที่มีส่วนผสม ดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน เศษอิฐละเอียด 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ โดยการตัดแยกต้นอ่อน
อัตราการคายความชื้น ปานกลาง
อัตราการดูดสารพิษ ปานกลางถึงมาก


ยางอินเดีย
Rubber Plant
ยางอินเดียเป็นไม้ประดับที่รู้จักในเมืองไทยมานานแล้ว เป็นพรรณไม้ขนาดใหญ่ ถ้าปลูกกลางแจ้งจะสูงไม่มากนัก ถึงแม้จะเป็นไม้ที่ชอบแสงแดดแต่ก็เจริญเติบโตได้ในสภาพแสงน้อย ปลูกง่ายทนทาน มิหนำซ้ำยังมีคุณสมบัติดีเด่นในการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคารได้ดีเยี่ยม ยางอินเดียมีลำต้นตั้งตรง ลักษณะเด่นอยู่ที่ใบ มีลักษณะกลมรีปลายแหลม ใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ปลูกเป็นไม้ประดับได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
ในบรรดาไม้ขนาดใหญ่ด้วยกัน ยางอินเดีย เป็นไม้ประดับภายในอาคารที่น่าสนใจ เพราะเจริญเติบโตได้ดีถึงจะมีแสงน้อย ปลูกง่าย ทนทาน ต้องการน้ำไม่มาก แต่ในทางตรงกันข้ามกลับคายความชื้นได้มาก และที่สำคัญเป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus Robusta
วงศ์ Moraceae
ถิ่นกำเนิด ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
แสงแดด แดดจัด
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นบ้าง
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล เป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก ไม่ชอบชื้นแฉะ แต่ก็อย่าปล่อยให้ดินแห้งจนเกินไป เนื่องจากมีใบที่สวยงาม จึงควรหมั่นใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาดเช็ดใบเพิ่มความชุ่มชื่น ใบจะเป็นมันวาว ให้ปุ๋ยโดยใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำอย่างเจือจางรดทุก 1–2 เดือน
การปลูก เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยมีการระบายน้ำดี ส่วนผสมของดิน ใช้ดินร่วน 2 ส่วน ทรายหยาบ 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ โดยการตอนกิ่งหรือปักชำ
อัตราการคายความชื้น ปานกลางถึงมาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก



เคยสงสัยไหมว่า ทำไมใครๆถึงได้คะยั้นคะยอให้คุณพยายามดื่มน้ำ (อย่างน้อย 8 แก้ว ต่อวัน) กันนัก
เหตุผลก็เพราะ น้ำเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับชีวิต เซลล์ทุกเซลล์ล้วนมีน้ำเป็นส่วนประกอบ ถ้านับรวมๆแล้ว ในร่างกายเรามีน้ำอยู่ถึง 55 – 75 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้นถ้าร่างกายขาดน้ำเพียงแค่ 10 วัน เราก็ตายแล้ว (ขณะที่คุณสามารถขาดอาหารได้ถึง 70 วัน)น้ำในร่างกายของเราส่วนใหญ่มาจากน้ำที่เราดื่ม รวมทั้งในอาหารที่เรากิน และเกิดจากกระบวนการเมตาโบลิซึ่มซึ่งทำงานอยู่ตลอดเวลา ประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำในร่างกายจะอยู่ในเซลล์ และอีกหนึ่งส่วนที่เหลือจะอยู่ในเลือดและของเหลวต่างๆน้ำทำหน้าที่สำคัญๆ หลายอย่าง เช่น ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร ลำเลียงสารอาหารและของเสียไปตามประแสเลือด ช่วยในการสร้างปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกาย ช่วยหล่อลื่นและรองรับการเคลื่อนไหวของเอ็นข้อต่อต่างๆ และช่วยรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเราไม่เก็บกักน้ำเอาไว้ แต่ละวันจะมีการสูญเสียน้ำตลอดเวลา โดยการขับถ่ายทางปัสสาวะ อุจจาระ ทางผิวหนนัง และทางปอด เฉลี่ยมีการสูญเสียน้ำประมาณ 2.65 ลิตรต่อวัน เพราะเหตุนี้ คุณจึงควรได้รับน้ำทดแทนส่วนที่เสียไป อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 8 แก้วต่อวันปัญหาอยู่ที่ว่า คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะมักดื่มน้ำก็ต่อเมื่อรู้สึกกระหาย ความจริงแล้วเมื่อคุณกระหาย นั่นหมายความว่าร่างกายถึงขั้นเกิดภาวะขาดน้ำแล้ว สัญญานและอาการของภาวะขาดน้ำ คือ รู้สึกกระหาย ปัสสาวะน้อยลง และปัสสาวะมีสีเหลือเข้ม (โดยทั่วไปปัสสาวะสีอ่อนจะดีกว่า) ท้องผูก เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดหัว เวียนหัว หน้ามืดตาลาย เป็นตะคริว อุณหูมิร่างกายสูง และความดันเลือดสูงขึ้น มีรายงานการวิจัยชิ้นใหม่ที่พบว่า การดื่มน้ำให้พอเพียงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาสาวะ
เคล็ดลับง่ายๆที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน คือดื่มทันทีหลังจากตื่นนอน ดื่มก่อนอาหาร (ช่วยไม่ให้กินมากเกินด้วย) ดื่มก่อนและหลังออกกำลัง ดื่มทุก 10 –15 นาทีระหว่างออกกำลัง ดื่มเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ดื่มเมื่อปวดหัวหรือเป็นตะคริว ดื่มเมื่อปัสสาวะของคุณเป็นสีเข้ม จิบน้ำอยู่เรื่อยๆ ตลอดวัน
อย่าลืมว่า น้ำทำให้กระบวนการทุกอย่างในร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่น ฉะนั้น...ดื่มน้ำซะ

1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินใหม่ เลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และควรทานให้ได้ทุกมื้อ เพราะมีไฟเบอร์และวิตามินสูง

2. หลีกเลี่ยงของมันต่างๆ อาหารที่ปรุงจากการทอด ควรเลือกทานเนื้อปลา ปู กุ้ง ซึ่งให้พลังงานน้อยกว่าเนื้อหมูและวัว

3. รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้าสำคัญที่สุด

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร เพราะจะให้ผลที่ดีกว่าและเร็วกว่า

5. ห้ามใช้ยาลดน้ำหนัก เพราะทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่ที่สำคัญ อาจทำให้ไตวายและเสียชีวิตได้

6. ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 6 - 8 แก้ว มีผลวิจัยออกมาว่าการดื่มน้ำเยอะๆ ช่วยลดน้ำหนักได้

7. ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกที

8. มีความตั้งใจจริง เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ คุณจะไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้เลย



ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
ดอยอ่างขาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศเหนือ 137 กม. แยกซ้ายเข้าไปอีก 25 กม. ดอยอ่างขางเป็นเทือกดอยสูงติดกับสันเขาพรมแดนประเทศพม่า จุดเด่นที่นักท่องเที่ยวไปเยือนดอยอ่างขางคือการไปเที่ยวชมดอกไม้เมืองหนาวภายโครงการฯ สถานีเกษตรดอยอ่างขางได้รับการจัดตั้งเมื่อปี 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อวิจัยพืชเมืองหนาวเพื่อส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกทดแทนฝิ่นและหยุดการทำลายป่า ดอยอ่างขางมีลักษณะเป็นแอ่งที่ราบในหุบเขาลักษณะเหมือนท้องกะทะหรือเหมือนอ่าง อยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 1,400 เมตร ภายในโครงการมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาก เช่น แปลงปลูกไม้ดอกไม้ประดับกลางแจ้ง แปลงปลูกไม้ในร่ม แปลงทดลองกุหลาบ แปลงปลูกผัก แปลงปลูกผักในร่ม สวนท้อ สวนบ๊วย ป่าซากุระ ป่าเมเปิล พระตำหนักอ่างขาง รายละเอียดและจุดเด่นของแต่ละสถานที่ดังจะกล่าวในหัวข้อต่อไป

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำเชอรี่ ชื่นใจ มากคุณค่า


เชอรี่ มีวิตามินซีสูงกว่าส้มประมาณ 30-80 เท่า แล้วแต่พันธุ์เชอรี่ เชอรี่ที่วิตามินซีสูงสุด คือเชอรี่กึ่งสุกกึ่งดิบ สังเกตได้ว่าเป็นช่วงที่มีสีเขียวปนส้ม วิตามินซีในเชอรี่ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง เนื่องจากส่วนประกอบของ
สารพฤกษเคมีที่คุณค่าสูงมากสำหรับป้องกันความชรา ป้องกันมะเร็ง
สิ่งที่เน้น คือวิตามินซีในผลไม้ เช่นเชอรี่นี้ สลายตัวเร็วมาก เมื่อทำน้ำเชอรี่เสร็จแล้ว ควรรีบดื่มทันที จะได้ประโยชน์สูงสุด
ส่วนผสม
• เชอรี่ 100 กรัม (7 ช้อนคาว)• น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว) (ใช้สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียมแทนได้)• น้ำเปล่าสะอาด 200 กรัม (14 ช้อนคาว)• เกลือเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
เลือกเชอรี่ ล้างให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำเปล่าสะอาดครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ นำน้ำเปล่าสะอาดครึ่งหนึ่งที่เหลือ ใส่ลงไปในกาก คั้นน้ำออกคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันโรคเลือดออดตามไรฟัน ดูแลความงาม ชลอความแก่ ต้านอนุมูลอิสระ
คุณค่าทางยา ป้องกันโรคโลหิตจาง
ประโยชน์ของน้ำเชอรี่
- มีวิตามิน A,C,Ca คาร์โบไฮเดรต กรดอินทรีย์ ธาตุเหล็ก และวิตามินอื่นๆ- มีสารที่สามรถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และมีส่วนช่วยยับยั้งโรคเบาหวาน- ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เนื่องจากการออกกำลังกาย - ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และการแพ้อากาศ

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Pee Ta Khon




Those people in Dhan Sai District, Loei have established their merit ceremony of March (Duan Si)--the Boon Pa Ved together with Boon Bung Fai called Ngan Boon Luang. It has been held during the end of March to the beginning of April every year. This so-called a big event and there is a grand sermon (Tej Mahachat) named the Mahavejsandon Jadoh, the story of last great incarnation of the Budda.
There is not only the grand sermon but also the demonstration of the beginning of their fertility. The ceremony includes fantastic parade as a symbol for inviting the last great incarnation of the Budda, Phra Mahavejsandon, to the city. The belief in bringing a season of rainy to their land makes them build "Bung Fai"--the rocket made by many segments of jointed stem bamboo with potassium nitrate to fire fusee. This Boon Luang parade of Dahn Sai people comes the Pee Ta Khon festival which is now a famous Thai parade or caravan widely known all over the world.
Pee Ta Khon is one of the E-san traditional plays. Each player must wear scary mask and make-up to look like ghost. Not for invoking evil spirit but for amusing among the crowd. In former years, E-san people usually played it for favor during the Boon Bung Fai and Boon Pa Ved ceremonies. The origin of Pee Ta Khon parade is based on the belief in old time story of the last great incarnation of the Budda, Mahavejsandon. While his parents, the King and the Queen of those days, had welcomed him and his family back after banishment. The caravan paraded them back to the city was full of savages and ghosts who used to serve and respect him highly, joined for farewell.

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของเสาวรส









เสมหะ แก้ไอ แต่ทั้งต้นสด มีสารพิษคือ สาร cyanogenetic glycoside หากอยู่ ๆ เด็ดเถาต้นสดเข้าปกาเคี้ยวเล่น ก็อาจถึงตายเชียว อย่าทำเป็นเล่นไป คอยให้ออกผลมากินให้ชื่นใจดีกว่า
ปัจจุบันน้ำเสาวรสถูกนำบรรจุกระป๋องและกล่องขาย มีทั้งของโครงการหลวงดอยคำ และของบริษัทเอกชนทั่วไป

Banana

Banana is the common name for herbaceous plants of the genus Musa and for the fruit they produce. Bananas come in a variety of sizes and colors when ripe, including yellow, purple, and red. In popular culture and commerce, "banana" usually refers to soft, sweet "dessert" bananas. By contrast, Musa cultivars with firmer, starchier fruit are called plantains. Many varieties of bananas are perennial. Refer to the Musa article for a list of the varieties of bananas and plantains. They are native to tropical Southeast Asia, and are likely to have been first domesticated in Papua New Guinea.[1] Today, they are cultivated throughout the tropics.They are grown in at least 107 countries,[3] primarily for their fruit, and to a lesser extent to make fiber and as ornamental plants. Although fruit of wild species have large, hard seeds, virtually all culinary bananas are "seedless", have only tiny seeds[citation needed]. Bananas are classified either as dessert bananas (meaning they are yellow and fully ripe when eaten) or as green cooking bananas. Almost all export bananas are of the dessert types; however, only about 10–15% of production is for export. The United States and European Union are the dominant importers.

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการอ่านหนังสือให้เข้าใจง่าย + การฝึกทำข้อสอบคณิตให้มีประสิทธิภาพ


1 ) สำรวจเนื้อหาแต่ละหน้าโดยการดูคราว ๆ ( เปิดดูหัวข้อหลัก )
2 ) อ่าน 1 รอบ โดยอ่านทั้งหมด แล้วมาสรุปโดยการเน้นข้อความสำคัญ
3 ) อ่านเฉพาะข้อความสำคัญที่เน้นไว้ในการอ่านรอบที่ 1
4 ) สรุปเป็นแผนผังความคิด ( mapping ) ตามความเข้าใจ
" ถ้าคุณสื่งเหล่านี้ตั้งแต่ตอนนี้ คุณจะมีทุนความรู้มากกว่าคนอื่นนะคะ "
การฝึกทำข้อสอบคณิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
1 ) เปิดใจรับเนื้อหา + สูตรต่าง ๆ ในเรื่องที่ต้องการฝึกทำข้อสอบ
2 ) ค่อย ๆ สรุป และคิดตามเนื้อหา
3 ) ฝึกทำความเข้าใจกับโจทย์และเรื่มทำ * ข้อสำคัญที่สุดคือ การฝึกทำข้อสอบคณิตศาสตร์โดยใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที ต่อครั้ง ซึ่งจะทำให้มีประสิทภาพสูงสุดในการทำวิชาคณิตศาสตร์
" ขอให้ทุกคนที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตั้งใจให้มาก ๆ นะ คะ แล้วจะเป็นกำลังใจให้ทุกคน "

Angkor Wat


Angkor Wat is a Hindu temple complex at Angkor, Cambodia, built for the king Suryavarman II in the early 12th century as his state temple and part of his capital city. As the best-preserved temple at the site, it is the only one to have remained a significant religious centre since its foundation — first Hindu, dedicated to the god Vishnu, then Buddhist. The temple is the epitome of the high classical style of Khmer architecture. It has become a symbol of Cambodia, appearing on its national flag, and it is the country's prime attraction for visitors.
Angkor Wat combines two basic plans of Khmer temple architecture: the temple mountain and the later galleried temple, based on early South Indian Hindu architecture, with key features such as the Jagati. It is designed to represent Mount Meru, home of the devas in Hindu mythology: within a moat and an outer wall 3.6 kilometres (2.2 mi) long are three rectangular galleries, each raised above the next. At the centre of the temple stands a quincunx of towers. Unlike most Angkorian temples, Angkor Wat is oriented to the west; scholars are divided as to the significance of this. The temple is admired for the grandeur and harmony of the architecture, its extensive bas-reliefs and for the numerous devatas (guardian spirits) adorning its walls.
The modern name, Angkor Wat, means "City Temple"; Angkor is a vernacular form of the word នគរ nokor which comes from the Sanskrit word नगर nagara meaning capital or city. wat is the Khmer word for temple. Prior to this time the temple was known as Preah Pisnulok, after the posthumous title of its founder, Suryavarman II.
Angkor Wat lies 5.5 km north of the modern town of Siem Reap, and a short distance south and slightly east of the previous capital, which was centred on the Baphuon. It is in an area of Cambodia where there is an important group of ancient structures. It is the southernmost of Angkor's main sites.
The initial design and construction of the temple took place in the first half of the 12th century, during the reign of Suryavarman II (ruled 1113 – c. 1150). Dedicated to Vishnu, it was built as the king's state temple and part of his capital city, which itself was seventeen times bigger than Manhattan Island. As neither the foundation stela nor any contemporary inscriptions referring to the temple have been found, its original name is unknown, but it may have been known as Vrah Vishnulok after the presiding deity. Work seems to have ended shortly after the king's death, leaving some of the bas-relief decoration unfinished.[2] In 1177, approximately 27 years after the death of Suryavarman II, Angkor was sacked by the Chams, the traditional enemies of the Khmer. Thereafter the empire was restored by a new king, Jayavarman VII, who established a new capital and state temple (Angkor Thom and the Bayon respectively) a few kilometres to the north.
In the late 13th century, King Jayavarman VIII, who was Hindu, was deposed by his son in law, Srindravarman. Srindravarman had spent the previous 10 years in Sri Lanka becoming ordained as a Buddhist monk. Hence, the new King decided to convert the official religion of the empire from Hindu to Buddhist. Since Buddha was born and died a Hindu and since divisions between both the faiths appeared seamless, citizens were quick to follow a faith founded on tranquility without a need for material gain and power. This made the conversion relatively easy.Hence, Angkor Wat was converted from Hindu to Theravada Buddhist use, which continues to the present day. Angkor Wat is unusual among the Angkor temples in that although it was somewhat neglected after the 16th century it was never completely abandoned, its preservation being due in part to the fact that its moat also provided some protection from encroachment by the jungle.
One of the first Western visitors to the temple was Antonio da Magdalena, a Portuguese monk who visited in 1586 and said that it "is of such extraordinary construction that it is not possible to describe it with a pen, particularly since it is like no other building in the world. It has towers and decorations and all the refinements which the human genius can conceive of". However, the temple was popularised in the West only in the mid-19th century on the publication of Henri Mouhot's travel notes. The French explorer wrote of it:
"One of these temples—a rival to that of Solomon, and erected by some ancient Michelangelo—might take an honourable place beside our most beautiful buildings. It is grander than anything left to us by Greece or Rome, and presents a sad contrast to the state of barbarism in which the nation is now plunged."
Mouhot, like other early Western visitors, found it difficult to believe that the Khmers could have built the temple, and mistakenly dated it to around the same era as Rome. The true history of Angkor Wat was pieced together only from stylistic and epigraphic evidence accumulated during the subsequent clearing and restoration work carried out across the whole Angkor site.
There were no ordinary dwellings or houses or other signs of settlement including cooking utensils, weapons, or items of clothing usually found at ancient sites. Instead there is the evidence of the monuments themselves.
Angkor Wat required considerable restoration in the 20th century, mainly the removal of accumulated earth and vegetation. Work was interrupted by the civil war and Khmer Rouge control of the country during the 1970s and 1980s, but relatively little damage was done during this period other than the theft and destruction of mostly post-Angkorian statues.
The temple is a powerful symbol of Cambodia, and is a source of great national pride that has factored into Cambodia's diplomatic relations with its neighbor Thailand, France and the United States. A depiction of Angkor Wat has been a part of Cambodian national flags since the introduction of the first version circa 1863.
The splendid artistic legacy of Angkor Wat and other Khmer monuments in the Angkor region led directly to France adopting Cambodia as a protectorate on August 11, 1863. This quickly led to Cambodia reclaiming lands in the northwestern corner of the country that had been under Thai control since the Thai invasion of 1431 AD. Cambodia gained independence from France on 9 November 1953 and has controlled Angkor Wat since that time.
During the midst of the Vietnam War, Chief of State Norodom Sihanouk hosted Jacqueline Kennedy in Cambodia to fulfill her "lifelong dream of seeing Angkor Wat."
In January 2003 riots erupted in Phnom Penh when a false rumour circulated that a Thai soap opera actress had claimed that Angkor Wat belonged to Thailand.

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เทศกาลEaster

อีสเตอร์คือเทศกาลหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิซึ่งในประเทศที่นับถือคริสตศาสนา
อีสเตอร์ คือ การเฉลิมฉลองวันหยุดทางศาสนาซึ่งเป็นวันที่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงฟื้นพระชนม์ขึ้นจากความตาย แต่ นอกจากการเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์นี้แล้วยังมีการฉลองในลักษณะประเพณีต่างๆและจากตำนานต่างๆซึ่งมาจากที่มาทางศาสนาที่แตกต่างกัน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาคริสต์
นักวิชาการทางด้านศาสนาได้ยอมรับต้นตอที่มาของคำว่าอีสเตอร์ซึ่งศึกษาโดยนักวิชาการทางด้านศาสนาชาวอังกฤษอังกฤษในศตวรรษที่8 ที่ชื่อว่าเซนต์ เบเด(St.Bede) ซึ่งเชื่อว่า ชื่อ"Easter" นั้นมาจากภาษาสแกนดิเนเวียนว่า"OSTRA" และในภาษาทิวโทนิค(ภาษาพื้นเมืองสแกนดิเนวีย)ว่า"Ostern" หรือ "Eastre" ซึ่งเป็นชื่อของเทพธิดาแห่งเทพปกรณัมผู้ที่นำฤดูใบไม้ผลิและการเจริญพันธุ์และยังเป็นผู้ที่ถูกสักการะและเฉลิมฉลองในวันที่เรียกว่าVernal Equinox(วันในฤดูใบไม้ผลิที่มีกลางวันและกลางคืนเท่าๆกันพอดี)และประเพณีที่เกี่ยวข้องกับ การฉลองเทศกาลแห่งการมีชีวิตอยู่ โดยใช้กระต่ายอีสเตอร์เป็นสัญลักษณ์และการเจริญพันธุ์ซึ่งใช้ไข่อีสเตอร์เป็นสัญญลักษณ์ ซึ่งไข่เหล่านั้นถูกทาสีอย่างสดใสและสวยงามซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหมายของแสงอาทิตย์ที่สดใสในฤดูใบไม้ผลิและถูกใช้ในการแข่งขันโยนไข่อีสเตอร์(เป็นประเพณีอย่างนึงในวันอีสเตอร์)และไข่อีสเตอร์ยังใช้มอบให้เป็นของขวัญแก่กันด้วยการเฉลิมฉลองของชาวคริสต์ในเทศกาลอีสเตอร์ นั้นเกิดจากการนำเอาหลายประพณีมารวมกันซึ่งโดยรวมแล้วมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างเทศกาลอีสเตอร์
และเทศกาลPassover หรือเทศกาลปัสกาของชาวยิวนั่นเอง หรืออีกชื่อนึงซึ่งชาวยุโรปชอบเรียกกันคือเทศกาลPasch ซึ่งใช้เรียกวันอีสเตอร์ในแถบยุโรปนั่นเอง
เทศกาลปัสกานั้นคือเทศกาลเฉลิมฉลอง ที่สำคัญมากในชาวยิวซึ่งเป็นการฉลองต่อเนื่องเป็นเวลา 8 วัน เพื่อระลึกถึงการเดินทางมายังดินแดนแห่งพันธะสัญญา(คานาอัน)และการเป็นอิสระของชนชาติอิสราเอลจากการตกเป็นทาสในอียิปต์
ซึ่งคริสเตียนรุ่นหลังๆที่มีเชื้อสายยิวได้นำเอาประเพณีฮิบรู (ยิว)รวมถึงเทศกาลอีสเตอร์ในฐานะของเทศกาลปัสกายุคใหม่ ซึ่งเป็นการระลึกถึงพระเมสไซอาห์(พระเยซู)ซึ่งได้มีผู้เผยพระวจนะได้ทำนายไว้ล่วงหน้า (หาอ่านเพิ่มเติมได้ในเศคาริยาห์ 9:9)
เทศกาลอีสเตอร์ได้ถูกรักษาไว้โดยเคร่งครัดเริ่มโดยคริสตจักรในประเทศทางตะวันตกโดยนับเอาวันอาทิตย์แรกหลังจากวันพระจันทร์เต็มดวงซึ่งเกิดขึ้นหลังวัน Vernal Equinox (21มีนาคม) ดังนั้นวันอีสเตอร์จึงเป็นเทศกาลที่ไม่มีวันที่ที่แน่นอน แต่จะเคลื่อนไปมาทุกปีอยู่ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึง
25 เมษายน คริสตจักรในประเทศทางตะวันตกซึ่งอยู่ใกล้กับที่เกิดของศาสนาคริสต์และยังต้องดำรงประเพณีดั้งเดิมอย่างเข้มแข็ง ได้รักษาวันอีสเตอร์ไว้ในช่วงเวลาเดียวกันกับเทศกาลปัสกา
วันอีสเตอร์ยังเป็นวันสิ้นสุดของเทศกาลมหาพรต(Lenten Season)ซึ่งครอบคลุมเวลา 46วัน ซี่งเริ่มในวันที่เรียกว่า วันพุธรับเถ้า(Ash Wednesday) และจบลงในวันอีสเตอร์ แต่เฉพาะเทศกาลมหาพรตเองนั้นมีกำหนดเวลา 40 วัน เพราะจะไม่นับวันอาทิตย์ทั้ง 6 วันรวมอยู่ในเทศกาลมหาพรตด้วย(เทศกาลมหาพรตเป็นเทศกาลของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก)
สัปดาห์ศักสิทธิ์(Holy Week) คือสัปดาห์สุดท้ายของเทศกาลมหาพรต ซึ่งเริ่มต้นในวันปาล์มซันเดย์ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูทรงเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเลมอย่างผู้พิชิตและฝูงชนโห่ร้องต้อนรับพระองค์และได้เอาใบปาล์มโบกต้อนรับและเอาเสื้อผ้าปูลงตามทางเพื่อให้พระองค์ทรงดำเนินผ่าน เพราะพระลักษณะที่พระองค์เสด็จมานั้นตรงกับพระวจนะของพระเจ้าที่มีผู้เผยพระวจนะทำนายไว้ล่วงหน้า (เศคาริยาห์ 9:9) และในวันพฤหัสศักสิทธิ์เป็นที่ระลึกถึงวันที่พระองค์ทรงรับประทานอาหารร่วมกับสาวกของพระองค์เป็นมื้อสุดท้าย(The Last Supper) ซึ่งเกิดขึ้นในตอนเย็นก่อนวันที่พระองค์จะถูกตรึงบนไม้กางเขน และในวันศุกร์ของสัปดาห์ศักสิทธิ์นี้ถูกเรียกว่าวันศุกร์ประเสริฐ(Good Friday) ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงถูกตรีงและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
สัปดาห์ศักสิทธิ์และเทศกาลมหาพรตนั้นจะสิ้นสุดพร้อมกันใน วันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันอีสเตอร์ ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าทรงฟื้นคืนพระชนม์ขี้นมาจากความตายนั่นเอง

Mother Teresa


Early life
Agnes Gonxha Bojaxhiu (Gonxhe meaning "rosebud" in Albanian) was born on 26 August 1910, in Üsküb, Ottoman Empire (now Skopje, capital of the Republic of Macedonia). Although she was born on 26 August, she considered 27 August, the day she was baptized, to be her "true birthday."She was the youngest of the children of a family from Shkodër, Albania, born to Nikollë and Drana Bojaxhiu.Her father, who was involved in Albanian politics, died in 1919 when she was eight years old. After her father's death, her mother raised her as a Roman Catholic. According to a biography by Joan Graff Clucas, in her early years Agnes was fascinated by stories of the lives of missionaries and their service, and by age 12 was convinced that she should commit herself to a religious life. She left home at age 18 to join the Sisters of Loreto as a missionary. She never again saw her mother or sister.
Agnes initially went to the Loreto Abbey in Rathfarnham, Ireland to learn English, the language the Sisters of Loreto used to teach school children in India. She arrived in India in 1929, and began her novitiate in Darjeeling, near the Himalayan mountains. She took her first religious vows as a nun on 24 May 1931. At that time she chose the name Teresa after Thérèse de Lisieux, the patron saint of missionaries. She took her solemn vows on 14 May 1937, while serving as a teacher at the Loreto convent school in eastern Calcutta.
Although Teresa enjoyed teaching at the school, she was increasingly disturbed by the poverty surrounding her in Calcutta. The Bengal famine of 1943 brought misery and death to the city; and the outbreak of Hindu/Muslim violence in August 1946 plunged the city into despair and horror.

Missionaries of Charity
On 10 September 1946, Teresa experienced what she later described as "the call within the call" while traveling to the Loreto convent in Darjeeling from Calcutta for her annual retreat. "I was to leave the convent and help the poor while living among them. It was an order. To fail would have been to break the faith." She began her missionary work with the poor in 1948, replacing her traditional Loreto habit with a simple white cotton sari decorated with a blue border, adopted Indian citizenship, and ventured out into the slums. Initially she started a school in Motijhil; soon she started tending to the needs of the destitute and starving. Her efforts quickly caught the attention of Indian officials, including the prime minister, who expressed his appreciation.
Teresa wrote in her diary that her first year was fraught with difficulties. She had no income and had to resort to begging for food and supplies. Teresa experienced doubt, loneliness and the temptation to return to the comfort of convent life during these early months. She wrote in her diary:
Our Lord wants me to be a free nun covered with the poverty of the cross. Today I learned a good lesson. The poverty of the poor must be so hard for them. While looking for a home I walked and walked till my arms and legs ached. I thought how much they must ache in body and soul, looking for a home, food and health. Then the comfort of Loreto [her former order] came to tempt me. 'You have only to say the word and all that will be yours again,' the Tempter kept on saying ... Of free choice, my God, and out of love for you, I desire to remain and do whatever be your Holy will in my regard. I did not let a single tear come.
Teresa received Vatican permission on 7 October 1950 to start the diocesan congregation that would become the Missionaries of Charity.Its mission was to care for, in her own words, "the hungry, the naked, the homeless, the crippled, the blind, the lepers, all those people who feel unwanted, unloved, uncared for throughout society, people that have become a burden to the society and are shunned by everyone." It began as a small order with 13 members in Calcutta; today it has more than 4,000 nuns running orphanages, AIDS hospices and charity centers worldwide, and caring for refugees, the blind, disabled, aged, alcoholics, the poor and homeless, and victims of floods, epidemics, and famine.
In 1952 Mother Teresa opened the first Home for the Dying in space made available by the city of Calcutta. With the help of Indian officials she converted an abandoned Hindu temple into the Kalighat Home for the Dying, a free hospice for the poor. She renamed it Kalighat, the Home of the Pure Heart (Nirmal Hriday).Those brought to the home received medical attention and were afforded the opportunity to die with dignity, according to the rituals of their faith; Muslims were read the Quran, Hindus received water from the Ganges, and Catholics received the Last Rites. "A beautiful death," she said, "is for people who lived like animals to die like angels—loved and wanted."Mother Teresa soon opened a home for those suffering from Hansen's disease, commonly known as leprosy, and called the hospice Shanti Nagar (City of Peace). The Missionaries of Charity also established several leprosy outreach clinics throughout Calcutta, providing medication, bandages and food.
As the Missionaries of Charity took in increasing numbers of lost children, Mother Teresa felt the need to create a home for them. In 1955 she opened the Nirmala Shishu Bhavan, the Children's Home of the Immaculate Heart, as a haven for orphans and homeless youth.
The order soon began to attract both recruits and charitable donations, and by the 1960s had opened hospices, orphanages and leper houses all over India. Mother Teresa then expanded the order throughout the globe. Its first house outside India opened in Venezuela in 1965 with five sisters.Others followed in Rome, Tanzania, and Austria in 1968; during the 1970s the order opened houses and foundations in dozens of countries in Asia, Africa, Europe and the United States.
Her philosophy and implementation have faced some criticism. David Scott wrote that Mother Teresa limited herself to keeping people alive rather than tackling poverty itself. She has also been criticized for her view on suffering: according to an article in the Alberta Report, she felt that suffering would bring people closer to Jesus. The quality of care offered to terminally ill patients in the Homes for the Dying has been criticised in the medical press, notably The Lancet and the British Medical Journal, which reported the reuse of hypodermic needles, poor living conditions, including the use of cold baths for all patients, and an approach to illness and suffering that precluded the use of many elements of modern medical care, such as systematic diagnosis. Dr. Robin Fox, editor of The Lancet, described the medical care as "haphazard", as volunteers without medical knowledge had to take decisions about patient care, because of the lack of doctors. He observed that her order did not distinguish between curable and incurable patients, so that people who could otherwise survive would be at risk of dying from infections and lack of treatment.
The Missionaries of Charity Brothers was founded in 1963, and a contemplative branch of the Sisters followed in 1976. Lay Catholics and non-Catholics were enrolled in the Co-Workers of Mother Teresa, the Sick and Suffering Co-Workers, and the Lay Missionaries of Charity. In answer to the requests of many priests, in 1981 Mother Teresa also began the Corpus Christi Movement for Priests, and in 1984 founded with Fr. Joseph Langford the Missionaries of Charity Fathers to combine the vocational aims of the Missionaries of Charity with the resources of the ministerial priesthood. By 2007 the Missionaries of Charity numbered approximately 450 brothers and 5,000 nuns worldwide, operating 600 missions, schools and shelters in 120 countries.

International charity
In 1982, at the height of the Siege of Beirut, Mother Teresa rescued 37 children trapped in a front line hospital by brokering a temporary cease-fire between the Israeli army and Palestinian guerrillas. Accompanied by Red Cross workers, she traveled through the war zone to the devastated hospital to evacuate the young patients.
When Eastern Europe experienced increased openness in the late 1980s, she expanded her efforts to Communist countries that had previously rejected the Missionaries of Charity, embarking on dozens of projects. She was undeterred by criticism about her firm stand against abortion and divorce stating, "No matter who says what, you should accept it with a smile and do your own work."
Mother Teresa traveled to assist and minister to the hungry in Ethiopia, radiation victims at Chernobyl, and earthquake victims in Armenia. In 1991, Mother Teresa returned for the first time to her homeland and opened a Missionaries of Charity Brothers home in Tirana, Albania.
By 1996, she was operating 517 missions in more than 100 countries.Over the years, Mother Teresa's Missionaries of Charity grew from twelve to thousands serving the "poorest of the poor" in 450 centers around the world. The first Missionaries of Charity home in the United States was established in the South Bronx, New York; by 1984 the order operated 19 establishments throughout the country.
The spending of the charity money received has been criticized by some. Christopher Hitchens and the German magazine Stern have said Mother Teresa did not focus donated money on alleviating poverty or improving the conditions of her hospices, but on opening new convents and increasing missionary work.
Additionally, the sources of some donations accepted have been criticized. Mother Teresa accepted donations from the autocratic and corrupt Duvalier family in Haiti and openly praised them. She also accepted 1.4 million dollars from Charles Keating, involved in the fraud and corruption scheme known as the Keating Five scandal and supported him before and after his arrest. The Deputy District Attorney for Los Angeles, Paul Turley, wrote to Mother Teresa asking her to return the donated money to the people Keating had stolen from, one of whom was "a poor carpenter". The donated money was not accounted for, and Turley did not receive a reply.
Colette Livermore, a former Missionary of Charity, describes her reasons for leaving the order in her book Hope Endures: Leaving Mother Teresa, Losing Faith, and Searching for Meaning. Livermore found what she called Mother Teresa's "theology of suffering" to be flawed, despite being a good and courageous person. Though Mother Teresa instructed her followers on the importance of spreading the Gospel through actions rather than theological lessons, Livermore could not reconcile this with some of the practices of the organization. Examples she gives include unnecessarily refusing to help the needy when they approached the nuns at the wrong time according to the prescribed schedule, discouraging nuns from seeking medical training to deal with the illnesses they encountered (with the justification that God empowers the weak and ignorant), and imposition of "unjust" punishments, such as being transferred away from friends. Livermore says that the Missionaries of Charity "infantilized" its nuns by prohibiting the reading of secular books and newspapers, and emphasizing obedience over independent thinking and problem-solving.
Declining health and death
Mother Teresa suffered a heart attack in Rome in 1983, while visiting Pope John Paul II. After a second attack in 1989, she received an artificial pacemaker. In 1991, after a battle with pneumonia while in Mexico, she suffered further heart problems. She offered to resign her position as head of the Missionaries of Charity. But the nuns of the order, in a secret ballot, voted for her to stay. Mother Teresa agreed to continue her work as head of the order.
In April 1996, Mother Teresa fell and broke her collar bone. In August she suffered from malaria and failure of the left heart ventricle. She had heart surgery but it was clear that her health was declining. When she fell ill, she made the controversial decision to be treated at a well-equipped hospital in California instead of one of her own clinics. The Archbishop of Calcutta, Henry Sebastian D'Souza, said he ordered a priest to perform an exorcism on Mother Teresa with her permission when she was first hospitalized with cardiac problems because he thought she may be under attack by the devil.
On 13 March 1997, she stepped down from the head of Missionaries of Charity. She died on 5 September 1997.
At the time of her death, Mother Teresa's Missionaries of Charity had over 4,000 sisters, and an associated brotherhood of 300 members, operating 610 missions in 123 countries.[citation needed] These included hospices and homes for people with HIV/AIDS, leprosy and tuberculosis, soup kitchens, children's and family counseling programs, personal helpers, orphanages, and schools. The Missionaries of Charity were also aided by Co-Workers, who numbered over 1 million by the 1990s.
Mother Teresa lay in state in St Thomas, Kolkata for one week prior to her funeral, in September 1997. She was granted a state funeral by the Indian Government in gratitude for her services to the poor of all religions in India