วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ต้นไม้ขจัดพิษ











สาวน้อยประแป้ง เป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั้งภายนอกและภายในอาคารมานานแล้ว เพราะเลี้ยงง่าย ทน และใบมีลวดลายสวยงาม แต่ น้อยคนนักที่จะรู้ถึงคุณค่าของสาวน้อยประแป้งในฐานะเป็นไม้ที่ช่วยฟอกอากาศ สามารถดูดสารพิษได้มากชนิดหนึ่ง สาวน้อยประแป้งมีใบใหญ่คล้าย ใบพาย มีตั้งแต่สีเขียวอ่อน เขียวแก่ไปจนถึงสีเหลืองอ่อนๆ มีลายแต้มประปรายสีขาวหรือเหลืองอ่อน จึงได้ชื่อว่า สาวน้อยประแป้งเป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญ เติบโตได้ดีในที่ร่ม ชอบอากาศอบอุ่นและความชื้นสูง แต่ก็สามารถปรับตัวเจริญเติบโตได้ดีในห้องที่มีความเย็นและสภาพอาการแห้งแล้ง จึงเป็นพืชที่ปลูก และดูแลง่าย คุณสมบัติของสาวน้อยประแป้งที่มีใบขนาดใหญ่ จึงทำให้เป็นไม้ประดับที่ดูดสารพิษภายในห้องได้เป็นอย่างดี

หมากเหลือง
Areca Palm หรือ Yellow Palm
หมากเหลือง เป็นไม้ประดับภายในอาคารที่เป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่ง เพราะมีความสวยงาม มีความทนต่อสภาพแวดล้อมภายในอาคาร และคายความชื้นให้แก่อากาศภายในห้องได้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษจากอากาศได้ในปริมาณมากเช่นกัน หมากเหลืองเป็นพืชตระกูลปาล์มที่ปลูกง่าย โตเร็ว เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลาง สูงประมาณ 5–10 เมตร ลำต้นมีลายคล้ายข้อปล้อง โค้งงอและตั้งตรงได้สัดส่วนสวยงาม เจริญพันธุ์ด้วยการแตกหน่อเป็นกอประมาณ 5–12 ต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปขนนก แผ่นใบมีสีเขียวอมเหลือง ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอ่อนเป็นอยู่ใต้กาบใบ ภายใต้สภาพแวดล้อมห้อง หมากเหลืองขนาดสูง 1.8 เมตรจะคายน้ำประมาณ 1 ลิตร ทุกๆ 24 ชั่วโมง ในบรรดาไม้ประดับดูดสารพิษด้วยกัน หมากเหลือง เป็นพืชที่ดูดสารพิษจากอากาศได้ในประมาณมากที่สุดชนิดหนึ่งที่แนะนำให้ปลูกไว้ใน อาคารสำนักงาน หรือ บ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Chrgsalido carpus lutesers
วงศ์ Arecaceae (Palm)
ถิ่นกำเนิด มาดากัสก้า
แสงแดด แดดจัด
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำมาก
การดูแล ควรให้น้ำตอนเช้าวันละครั้ง แต่อย่าให้แฉะ ให้ปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง หมั่นฉีดพ่นใบด้วยละอองน้ำ จะช่วยป้องกันแมลงได้
การปลูก นิยมปลูกลงกระถาง โดยใช้ดินที่สมบูรณ์ มีส่วนผสมของดินร่วน ทรายแกลบ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษใบไม้ผุ ในอัตราส่วน 4:2:1:2:1
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ดหรือแยกกอ
อัตราการคายความชื้น มาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก

เดหลี
Peace Lily
เดหลีเป็นไม้ประดับที่โดดเด่นมากชนิดหนึ่ง เนื่องจากให้ดอกสีขาวที่สวยงาม จึงมักเป็นที่นิยมนำไปเป็นไม้ประดับในอาคาร เป็นไม้ที่คายความชื้นสูง ในขณะที่มีความสามารถสูงในการดูดพิษภายในอาคาร เดหลีเป็นไม้ประดับที่มีใบสีเขียวเข้มมันเป็นวาว ดอกเป็นช่อสีขาวหรือขาวแกมเหลือง กาบหุ้มช่อดอกมีสีขาวคล้ายดอกหน้าวัว เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงประมาณ 30–60 เซนติเมตร โดยธรรมชาติเดหลีชอบขึ้นอยู่ตามริมลำธารที่มีร่มเงาในป่าฝนเขตร้อน แต่เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคารเดหลีก็สามารถปรับตัวได้ดี แม้จะมีความชื้นต่ำและรับแสงจากหลอดไฟฟ้า เพียงแต่ดินต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ เป็นไม้ประดับในจำนวนน้อยชนิดที่สามารถออกดอกได้ภายในอาคาร
เดหลีสามารถดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์ อาซีโตน ไตรคลอไรเอทีรีน เบนซีนและฟอร์มาดีไฮด์ และสามารถดูดได้ในปริมาณมาก จึงไม่ควรลืมที่จะนำเดหลีประดับไว้ในสำนักงานหรือบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Spathiphyllum Clevelandii
วงศ์ Araceae
ถิ่นกำเนิด โคลัมเบีย เวเนซูเอลา
แสงแดด แสงแดดอ่อน รำไร
อุณหภูมิ 16–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้น ควรรดมากขึ้นถ้าอากาศร้อน แต่ถ้าอากาศเย็น ก็ลดปริมาณการรดน้ำลง ใช้ปุ่ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1–2 ครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบจะช่วยป้องกันแมลงได้
การปลูก ปลูกลงกระถางโดยใช้ส่วนผสมของ ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ และทรายหยาบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1
การขยายพันธุ์ การแยกกอ
อัตราการคายความชื้น มาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก

เยอบีร่า
Gerbera Daisy
เยอบีร่าไม้ประดับที่ให้ดอกสีสวยสดใส และคงทนอยู่นาน แม้จะตัดออกมาปักแจกัน แล้วก็ยังอยู่ได้นานหลายวัน จึงเป็นไม้ประดับที่นิยมนำมาประดับในอาคาร ไม่เพียงความสวย เยอบีร่ายังมีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษภายในอาคารได้อย่างดีเยี่ยม เยอบีร่าเป็นพรรณไม้พุ่ม มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ใบเป็นแฉกมีสีเขียวสด ก้านใบและใบมีขนละเอียด ก้านดอกแตกออกจากลำต้นใต้ดินยาวตั้งตรง ดอกมีสีสันหลากหลาย เช่น แดง ส้ม เหลือง หรือแม้แต่ม่วง ชมพู ขาว เป็นต้น
เยอบีร่าเป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความสามารถสูงในการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคาร มีอัตราการคายความชื้นสูง ประกอบกับมีความสวยงาม จึงเป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า เหมาะแก่การปลูกไว้ประดับในอาคารสำนักงานและบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Gerbera Jamesonii
วงศ์ Compositae
ถิ่นกำเนิด อาฟริกาใต้
แสงแดด แสงแดดจัด กึ่งแดด
อุณหภูมิ 16–18 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นปานกลาง
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล เป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด ต้องการน้ำและความชื้นในระดับปานกลาง จึงควรให้น้ำอย่างเพียงพอ แต่อย่าให้แฉะ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอ
การปลูก เจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์และร่วนซุย ใช้ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ ทรายหยาบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1
การขยายพัยธุ์ การแบ่งหน่อหรือแยกกอ
อัตราการคายความชื้น มาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก

บอสตันเฟิร์น
Boston Fern
เฟิร์นเป็นพืชคู่โลกที่มีมานานแสนนานแล้วชนิดหนึ่ง ดังปรากฎหลักฐานจากร่องรอยในหินฟอสซิลที่ขุดพบ เฟิร์นยังเป็นไม้ประดับยอดนิยมชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาเป็นไม้ประดับทั้งในและนอกอาคาร บอสตันเฟิร์นมีลักษณะก้านใบแข็งโค้งออกและทิ้งตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ใบขึ้นหนาทึบไม่มีดอก นิยมปลูกในกระถางแขวนหรือในกระถางใช้ประดับตามเสาหิน เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร บอสตันเฟิร์นต้องการการดูแลพอสมควร เนื่องจากต้องการความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำ สีของใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและร่วงอย่างรวดเร็ว จึงควรหมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นหรือฉีดพ่นด้วยละอองน้ำ
บอสตันเฟิร์นเป็นไม้ประดับที่ช่วยทำความสะอาดให้แก่อากาศภายในได้ดีชนิดหนึ่ง สามารถดูดสารพิษได้มาก โดยเฉพาะจำพวกฟอร์มาดีไฮด์ และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่อาคารภายในอาคารได้อย่างดี
ชื่อวิทยาศาสตร์ Nephrolepis exaltata
วงศ์ Polypodiaceae (fern)
ถิ่นกำเนิด เขตร้อน
แสงแดด กึ่งแดด
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำมาก
การดูแล หมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ โดยเฉพาะเวลาที่อากาศร้อนและแห้งควรฉีดพ่นละอองน้ำ ให้ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำให้เดือนละครั้ง
การปลูก ขึ้นได้ดีในดินร่วนที่เก็บความชื้นได้ดี ส่วนผสมของดิน ใช้ดินร่วน ทราย เศษอิฐหัก ใบไม้ผุ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน
การขยายพันธุ์ การแยกกอ
อัตราการคายความชื้น มาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก

วาสนาอธิษฐาน
Cornstalk Plant
ความจริงแล้ว วาสนาอธิษฐาน เป็นไม้ที่มีขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 5–6 เมตร ชอบแสงแดดจัด แต่ก็เป็นที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร เนื่องจากรูปทรงที่สวยแปลกตาและคงทนอยู่ได้แม้ในที่มีแสงสว่างน้อย วาสนาอธิษฐานมีลำต้นตั้งตรง มีสีน้ำตาลอ่อน ใบแตกจากหน่อที่ปลายลำต้น เป็นใบเดี่ยวลักษณะเรียวยาว ปลายแหลมโคนสอบเข้าหาใบซึ่งเป็นกาบติดกับลำต้น พื้นใบมีสีเขียวมีลายสีเหลืองพาดกลางไปตามความยาวของใบ ใบอ่อนจะแตกตรงส่วนยอดของต้น ดอกออกเป็นช่อสีเหลือง กลิ่นหอมส่งกลิ่นไปได้ไกล นิยมนำลำต้นของวาสนาอธิษฐานมาตัดเป็นท่อนๆ ยาว 6–8 นิ้วแล้วตั้งในถาดตื้น หล่อน้ำไว้นำไปตั้งประดับดูสวยงาม
วาสนาอธิษฐาน เป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่ดูดสารพิษภายในอาคารจำพวก ฟอร์มาดีไฮด์ ได้มีประสิทธิภาพ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena Fragrans Massangeana
วงศ์ Aqavaceae (aqave)
ถิ่นกำเนิด เอธิโอเปีย ไนจีเรีย กินี
แสงแดด แดดจัด
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำมาก
การดูแล เป็นพืชที่ชอบแดดจัดแต่ก็อยู่ในที่ร่มรำไรได้ ควรหมั่นรดน้ำ เพื่อให้ดินชุ่มน้ำอยู่เสมอแต่อย่าให้แฉะ ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบ โดยใช้ผ้าเช็ดก็จะดี ช่วยป้องกันแมลงจำพวกเพลี้ยได้
การปลูก ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ โดยใช้ปักชำยอดหรือลำต้น หรือตัดลำต้นเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 6–8 นิ้ว ตั้งใส่ถาดตื้นๆ หล่อน้ำไว้จนแตกหน่อแตกใบ
อัตราการคายความชื้น ปานกลางถึงมาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก
มรกตแดง
Red Emerald Philodendron
มรกตแดง เป็นพันธุ์ไม้ที่ดูดสารพิษได้ดีที่สุดในบรรดาพันธุ์ไม้ในตระกูลฟิโลเดนดรอน เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกและดูแลรักษาง่าย จึงถูกแนะนำให้นำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร มรกตแดงเป็นพืชพันธุ์ไม้เลื้อยในตระกูลฟิโลเดนตรอน ตามธรรมชาติจะเลื้อยพันต้นไม้ใหญ่ในป่า จึงไม่ชอบแสงแดดจัด แต่เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภายในอาคารก็เป็นไม้ที่แข็งแรง ปลูกเลี้ยงง่ายไม่ค่อยมีปัญหา มรกตแดงมีใบใหญ่ สีเขียวอมแดงเป็นมัน ดูสวยงาม การปลูกภายในอาคารให้ใช้กาบมะพร้าวหุ้มไม้ปักไว้ในกระถางพรมน้ำให้ชื้น เพื่อให้ยึดเกาะ ถ้าต้องการให้แตกกิ่งก้านสาขามากๆ ก็ควรหมั่นเด็ดยอดตั้งแต่ยังเล็กอยู่
ชื่อวิทยาศาสตร์ Philodendron Erubescens
วงศ์ Araceae (arum)
ถิ่นกำเนิด อเมริกาใต้
แสงแดด ใต้ร่มหรือร่มรำไร
อุณหภูมิ 16–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล ควรรดน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ หมั่นเช็ดใบด้วยผ้าชุบน้ำพอหมาด จะทำให้ใบมีสีเขียวเป็นมันดูสวยงาม ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายในน้ำรดเดือนละครั้ง
การปลูก ขึ้นได้ดีในดินร่วนซุย ส่วนผสมของดินใช้ ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน ใบไม้ผุ 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ วิธีปักชำยอดหรือลำต้น
อัตราการคายความชื้น ปานกลาง
อัตราการดูดสารพิษ ปานกลาง


แววมยุรา
Prayer Plant
แววมยุราเป็นพืชพันธุ์ไม้เลื้อยกึ่งคลุมดินในตระกูลเดียวกับคล้า แต่การปลูกเลี้ยงง่ายกว่ามาก เพราะมีความอดทนและเจริญเติบโตได้ง่ายในทุกสภาวะของห้อง แววมยุรามีใบด้านหน้าสีเขียวสลับลายเขียวแก่หรือน้ำตาล ส่วนหลังสีเขียวอมแดงหรือม่วงมีลายสลับเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยใบมีลวดลายและสีสันสวยงามคล้ายหางนกยูงจึงได้ชื่อไทยว่า “แววมยุรา” ส่วนภาษาอังกฤษได้ชื่อว่า “Prayer Plan” แปลว่า ต้นไม้พนมมือ โดยตั้งชื่อตามลักษณะการกระดกของใบตั้งขึ้นเหมือนการพนมมือตอนใกล้ค่ำ พอตอนรุ่งเช้าใบก็จะคลี่ออกตามเดิม
แววมยุราเป็นไม้ประดับในอาคารที่ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นภายในห้องได้ดี ถึงแม้ว่าคุณสมบัติในการดูดสารพิษจะน้อยไปสักนิดก็ตาม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Maranta Leuconeura
วงศ์ Marantaceae
ถิ่นกำเนิด บราซิล อเมริกาใต้
แสงแดด กึ่งแดด กึ่งร่ม
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นสูง
น้ำ ต้องการน้ำมาก
การดูแล เป็นพันธุ์ไม้ที่ต้องการแดดปานกลาง แต่ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง ต้องการน้ำมาก ความชื้นสูง จึงควรรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ ถ้าอากาศร้อนหรือแห้งแล้งมาก ก็ให้ฉีดพ่นละอองน้ำให้ใบชุ่มชื้น ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละครั้ง
การปลูก ควรปลูกในดินที่อุ้มน้ำได้ดี ส่วนผสมดินใช้ดินเหนียวผสมดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ การแยกกอหรือแบ่งเหง้าที่โตเต็มที่แล้วมาปลูก
อัตราการคายความชื้น ปานกลางถึงมาก
อัตราการดูดสารพิษ น้อย

เศรษฐีเรือนใน
Spider Plant
เศรษฐีเรือนใน เป็นไม้ประดับชนิดแรกๆ ที่ได้รับการเผยแพร่จากองค์การนาซ่าของสหรัฐอเมริกา ว่ามีคุณสมบัติในการดูดสารพิษภายในอาคารได้เป็นอย่างดี เศรษฐีเรือนในเป็นไม้กอขนาดเล็กที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั้งในและนอกอาคาร โดยปลูกในกระถางแขวนหรือปลูกเป็นพืชคลุมดินก็ได้ ใบมีลักษณะคล้ายใบหญ้า ขอบใบมีสีเขียวยาวตลอดใบ กลางใบเป็นสีขาว ใบมีความยาว 15–30 ซม. โค้งงอลงด้านล่าง
เศรษฐีเรือนใน มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน เมื่อแก่เต็มที่จะมีลำต้นอ่อนแตกออกมาเป็นกิ่ง มีต้นอ่อนเล็กๆ เป็นกระจุกอยู่ตรงปลายของกิ่ง ดูน่ารักดี ฝรั่งจึงเรียกว่า ต้นแมงมุม (Spider Plant) หรือ ต้นเครื่องบิน (Airplane Plant) เนื่องจากเวลาลมพัดต้นอ่อนจะแกว่งไปมาเหมือนเครื่องบิน ต้นอ่อนที่แตกออกมานี้สามารถตัดไปปลูกเป็นต้นใหม่ได้อย่างง่ายดาย
เศรษฐีเรือนในเป็นพืชที่ไม่ค่อยคายน้ำเท่าใดนัก แต่มีการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคารได้ดีมากชนิดหนึ่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Chlorophytum Comosum
วงศ์ Liliaceae (Lily)
ถิ่นกำเนิด อัฟริกาใต้
แสงแดด กึ่งแดด กึ่งร่ม
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นต่ำ
น้ำ ต้องการน้ำน้อย
การดูแล ชอบแสงแดดอ่อนๆ ไม่ชอบแสงแดดตรงๆ ไม่ต้องการน้ำมากสัปดาห์ละครั้งก็พอ หรือให้สังเกตจากหน้าดินว่าแห้งเกินไปหรือไม่ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรด 2 เดือนต่อครั้ง
การปลูก ชอบดินร่วนซุย โดยใช้ดินที่มีส่วนผสม ดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน เศษอิฐละเอียด 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ โดยการตัดแยกต้นอ่อน
อัตราการคายความชื้น ปานกลาง
อัตราการดูดสารพิษ ปานกลางถึงมาก


ยางอินเดีย
Rubber Plant
ยางอินเดียเป็นไม้ประดับที่รู้จักในเมืองไทยมานานแล้ว เป็นพรรณไม้ขนาดใหญ่ ถ้าปลูกกลางแจ้งจะสูงไม่มากนัก ถึงแม้จะเป็นไม้ที่ชอบแสงแดดแต่ก็เจริญเติบโตได้ในสภาพแสงน้อย ปลูกง่ายทนทาน มิหนำซ้ำยังมีคุณสมบัติดีเด่นในการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคารได้ดีเยี่ยม ยางอินเดียมีลำต้นตั้งตรง ลักษณะเด่นอยู่ที่ใบ มีลักษณะกลมรีปลายแหลม ใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ปลูกเป็นไม้ประดับได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
ในบรรดาไม้ขนาดใหญ่ด้วยกัน ยางอินเดีย เป็นไม้ประดับภายในอาคารที่น่าสนใจ เพราะเจริญเติบโตได้ดีถึงจะมีแสงน้อย ปลูกง่าย ทนทาน ต้องการน้ำไม่มาก แต่ในทางตรงกันข้ามกลับคายความชื้นได้มาก และที่สำคัญเป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus Robusta
วงศ์ Moraceae
ถิ่นกำเนิด ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
แสงแดด แดดจัด
อุณหภูมิ 18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น ต้องการความชื้นบ้าง
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล เป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก ไม่ชอบชื้นแฉะ แต่ก็อย่าปล่อยให้ดินแห้งจนเกินไป เนื่องจากมีใบที่สวยงาม จึงควรหมั่นใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาดเช็ดใบเพิ่มความชุ่มชื่น ใบจะเป็นมันวาว ให้ปุ๋ยโดยใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำอย่างเจือจางรดทุก 1–2 เดือน
การปลูก เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยมีการระบายน้ำดี ส่วนผสมของดิน ใช้ดินร่วน 2 ส่วน ทรายหยาบ 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน
การขยายพันธุ์ โดยการตอนกิ่งหรือปักชำ
อัตราการคายความชื้น ปานกลางถึงมาก
อัตราการดูดสารพิษ มาก



เคยสงสัยไหมว่า ทำไมใครๆถึงได้คะยั้นคะยอให้คุณพยายามดื่มน้ำ (อย่างน้อย 8 แก้ว ต่อวัน) กันนัก
เหตุผลก็เพราะ น้ำเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับชีวิต เซลล์ทุกเซลล์ล้วนมีน้ำเป็นส่วนประกอบ ถ้านับรวมๆแล้ว ในร่างกายเรามีน้ำอยู่ถึง 55 – 75 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้นถ้าร่างกายขาดน้ำเพียงแค่ 10 วัน เราก็ตายแล้ว (ขณะที่คุณสามารถขาดอาหารได้ถึง 70 วัน)น้ำในร่างกายของเราส่วนใหญ่มาจากน้ำที่เราดื่ม รวมทั้งในอาหารที่เรากิน และเกิดจากกระบวนการเมตาโบลิซึ่มซึ่งทำงานอยู่ตลอดเวลา ประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำในร่างกายจะอยู่ในเซลล์ และอีกหนึ่งส่วนที่เหลือจะอยู่ในเลือดและของเหลวต่างๆน้ำทำหน้าที่สำคัญๆ หลายอย่าง เช่น ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร ลำเลียงสารอาหารและของเสียไปตามประแสเลือด ช่วยในการสร้างปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกาย ช่วยหล่อลื่นและรองรับการเคลื่อนไหวของเอ็นข้อต่อต่างๆ และช่วยรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเราไม่เก็บกักน้ำเอาไว้ แต่ละวันจะมีการสูญเสียน้ำตลอดเวลา โดยการขับถ่ายทางปัสสาวะ อุจจาระ ทางผิวหนนัง และทางปอด เฉลี่ยมีการสูญเสียน้ำประมาณ 2.65 ลิตรต่อวัน เพราะเหตุนี้ คุณจึงควรได้รับน้ำทดแทนส่วนที่เสียไป อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 8 แก้วต่อวันปัญหาอยู่ที่ว่า คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะมักดื่มน้ำก็ต่อเมื่อรู้สึกกระหาย ความจริงแล้วเมื่อคุณกระหาย นั่นหมายความว่าร่างกายถึงขั้นเกิดภาวะขาดน้ำแล้ว สัญญานและอาการของภาวะขาดน้ำ คือ รู้สึกกระหาย ปัสสาวะน้อยลง และปัสสาวะมีสีเหลือเข้ม (โดยทั่วไปปัสสาวะสีอ่อนจะดีกว่า) ท้องผูก เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดหัว เวียนหัว หน้ามืดตาลาย เป็นตะคริว อุณหูมิร่างกายสูง และความดันเลือดสูงขึ้น มีรายงานการวิจัยชิ้นใหม่ที่พบว่า การดื่มน้ำให้พอเพียงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาสาวะ
เคล็ดลับง่ายๆที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน คือดื่มทันทีหลังจากตื่นนอน ดื่มก่อนอาหาร (ช่วยไม่ให้กินมากเกินด้วย) ดื่มก่อนและหลังออกกำลัง ดื่มทุก 10 –15 นาทีระหว่างออกกำลัง ดื่มเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ดื่มเมื่อปวดหัวหรือเป็นตะคริว ดื่มเมื่อปัสสาวะของคุณเป็นสีเข้ม จิบน้ำอยู่เรื่อยๆ ตลอดวัน
อย่าลืมว่า น้ำทำให้กระบวนการทุกอย่างในร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่น ฉะนั้น...ดื่มน้ำซะ

1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินใหม่ เลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และควรทานให้ได้ทุกมื้อ เพราะมีไฟเบอร์และวิตามินสูง

2. หลีกเลี่ยงของมันต่างๆ อาหารที่ปรุงจากการทอด ควรเลือกทานเนื้อปลา ปู กุ้ง ซึ่งให้พลังงานน้อยกว่าเนื้อหมูและวัว

3. รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้าสำคัญที่สุด

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร เพราะจะให้ผลที่ดีกว่าและเร็วกว่า

5. ห้ามใช้ยาลดน้ำหนัก เพราะทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่ที่สำคัญ อาจทำให้ไตวายและเสียชีวิตได้

6. ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 6 - 8 แก้ว มีผลวิจัยออกมาว่าการดื่มน้ำเยอะๆ ช่วยลดน้ำหนักได้

7. ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกที

8. มีความตั้งใจจริง เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ คุณจะไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้เลย



ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
ดอยอ่างขาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศเหนือ 137 กม. แยกซ้ายเข้าไปอีก 25 กม. ดอยอ่างขางเป็นเทือกดอยสูงติดกับสันเขาพรมแดนประเทศพม่า จุดเด่นที่นักท่องเที่ยวไปเยือนดอยอ่างขางคือการไปเที่ยวชมดอกไม้เมืองหนาวภายโครงการฯ สถานีเกษตรดอยอ่างขางได้รับการจัดตั้งเมื่อปี 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อวิจัยพืชเมืองหนาวเพื่อส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกทดแทนฝิ่นและหยุดการทำลายป่า ดอยอ่างขางมีลักษณะเป็นแอ่งที่ราบในหุบเขาลักษณะเหมือนท้องกะทะหรือเหมือนอ่าง อยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 1,400 เมตร ภายในโครงการมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาก เช่น แปลงปลูกไม้ดอกไม้ประดับกลางแจ้ง แปลงปลูกไม้ในร่ม แปลงทดลองกุหลาบ แปลงปลูกผัก แปลงปลูกผักในร่ม สวนท้อ สวนบ๊วย ป่าซากุระ ป่าเมเปิล พระตำหนักอ่างขาง รายละเอียดและจุดเด่นของแต่ละสถานที่ดังจะกล่าวในหัวข้อต่อไป

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำเชอรี่ ชื่นใจ มากคุณค่า


เชอรี่ มีวิตามินซีสูงกว่าส้มประมาณ 30-80 เท่า แล้วแต่พันธุ์เชอรี่ เชอรี่ที่วิตามินซีสูงสุด คือเชอรี่กึ่งสุกกึ่งดิบ สังเกตได้ว่าเป็นช่วงที่มีสีเขียวปนส้ม วิตามินซีในเชอรี่ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง เนื่องจากส่วนประกอบของ
สารพฤกษเคมีที่คุณค่าสูงมากสำหรับป้องกันความชรา ป้องกันมะเร็ง
สิ่งที่เน้น คือวิตามินซีในผลไม้ เช่นเชอรี่นี้ สลายตัวเร็วมาก เมื่อทำน้ำเชอรี่เสร็จแล้ว ควรรีบดื่มทันที จะได้ประโยชน์สูงสุด
ส่วนผสม
• เชอรี่ 100 กรัม (7 ช้อนคาว)• น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว) (ใช้สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียมแทนได้)• น้ำเปล่าสะอาด 200 กรัม (14 ช้อนคาว)• เกลือเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
เลือกเชอรี่ ล้างให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำเปล่าสะอาดครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ นำน้ำเปล่าสะอาดครึ่งหนึ่งที่เหลือ ใส่ลงไปในกาก คั้นน้ำออกคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันโรคเลือดออดตามไรฟัน ดูแลความงาม ชลอความแก่ ต้านอนุมูลอิสระ
คุณค่าทางยา ป้องกันโรคโลหิตจาง
ประโยชน์ของน้ำเชอรี่
- มีวิตามิน A,C,Ca คาร์โบไฮเดรต กรดอินทรีย์ ธาตุเหล็ก และวิตามินอื่นๆ- มีสารที่สามรถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และมีส่วนช่วยยับยั้งโรคเบาหวาน- ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เนื่องจากการออกกำลังกาย - ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และการแพ้อากาศ